6 พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องรับมือ!!

คู่มือสำหรับคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่สังเกตไหมคะว่าชีวิตส่วนตัวนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่มีลูก ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกันอยู่ไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีครอบครัวหรือกำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นให้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องรับมือเมื่อมีลูกน้อย จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามตัวเลย 1. การนอนหลับไม่สนิท เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพบเจออย่างแน่นอน สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องจัดการกับตารางเวลาการพักผ่อน ให้ดี เพราะในช่วง 3 เดือนแรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องยังคงปรับตัวกับการมีสมาชิกใหม่ซึ่งจะต้องรับมือกับลูกน้อยในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางบ้านอาจจะพบกับปัญหาลูกร้องกลางดึกบ่อยมากเพราะหิวนม ต้องคอยตื่นมาให้นม ต้องคอยปั๊มนมตลอดเวลา หรือมีความกังวล ว่าลูกนั้นนอนหลับสนิทดีหรือเปล่า หรือต้องคอยตื่นมาห่มผ้าให้ลูกเพราะลูกนั้นนอนดิ้น ถามให้คุณอาจกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่หมีแพนด้าเลยก็ว่าได้ 2. กลายเป็นคนที่เสียสละมากกว่าที่เคย หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่นั้นจะต้องประสบกับปัญหาในการเลี้ยงลูกจนคนนั้นจะต้องเสียสละทั้งเวลาส่วนตัว สละเวลานอน เสียสละความสบาย เสียสละความเอาแต่ใจ บางคนนั้นอาจจะต้องเสียสละหน้าที่การงานเพราะต้องออกมาดูแลลูก ซึ่งทั้งหมดนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยผ่านจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติเพื่อลูกน้อย ถามคุณยังเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นและมีความรู้สึกที่มากขึ้น เพราะความรักที่เรามีให้ลูกนั้นมากมายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้  3. หมดเวลาสวีท เป็นอีกหนึ่งข้อที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องยอมรับ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอดจะเหนื่อยมากที่สุด เพราะนอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับตัวแล้ว เวลาการพักผ่อนยังน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจด้วยการไปดูหนัง ช๊อปปิ้ง ฟังเพลงเพลินๆ จึงลดน้อยลงด้วย เพราะคุณจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดเหล่านี้ไปให้กับการดูแลลูกอย่างเต็มที่ แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกสักเท่าใด ก็อย่าลืมเติมความหวานให้กันอยู่เสมอ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ความรักของคุณนั้นจืดจาง และกลายเป็นความเย็นชาที่มีต่อกันงั้นเอง 4. คุณจะเป็นคนที่หูแว่วได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นะจะต้องเป็นกันทุกคนอย่างแน่นอนโดยเฉพาะเวลาที่เข้าห้องน้ำ หรือเวลาพักผ่อน […]

5 วิธี ปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กรักความสะอาด

คู่มือสำหรับคุณแม่

สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนแล้วเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ แน่นอนว่าหลังจากที่มีเจ้าตัวน้อยแล้วคุณพ่อคุณแม่จะต้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาภาระหน้าที่ จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่นั้นมีเวลาส่วนตัวน้อยลง รวมไปถึงเวลาที่จะดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่บ้านไหนมีลูกอ่อน จะมีสิ่งของกระจัดกระจายทั่วบ้าน แต่ถึงจะมีเวลาน้อยอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จะต้องปลูกฝังนิสัยการรักษาความสะอาดให้กับเจ้าตัวน้อยตั้งแต่เด็กๆ เพราะการดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้น่าอยู่และมีบรรยากาศที่ดีมีระเบียบวินัยช่วยให้ลูกน้อยซึมซับลักษณะนิสัยต่างๆเหล่านี้ตลอดจนเติบโต วันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคในการปลูกฝังลักษณะนิสัยรักความสะอาดให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็กช่วยให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย รู้จักดูแลสภาพแวดล้อมและตัวเองให้สะอาดถูกสุขอนามัยอยู่เสมอ จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก สำหรับลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่คือฮีโร่สำหรับเขา และเขาจะมีคุณเป็นแม่แบบ ดังนั้นหากคุณต้องการปลูกฝังนิสัยรักความสะอาดให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเขาจะค่อยๆซึมซับลักษณะนิสัยรักความสะอาดนี้เข้าไปโดยอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยพยายามจัดทุกอย่างให้อยู่เป็นหมวดหมู่ และแยกสิ่งของชนิดต่างๆลงกระบะหรือตะกร้าให้เรียบร้อย ทำสม่ำเสมออยู่เป็นประจำไม่นานเขาจะเริ่มเรียนรู้และเข้าใจและพร้อมที่จะทำตามนั้นเอง 2. สอนวิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องให้กับลูก เมื่อลูกเรียนรู้วิธีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง เขาจะสนุกกับการทำงานบ้านมากยิ่งขึ้น มีจุดมุ่งหมายในการทำความสะอาดอย่างชัดเจน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถทำความสะอาดหรือเก็บกวาดร่วมกันจนติดเป็นนิสัย นอกจากบ้านจะสะอาดแล้วยังได้ทำกิจกรรมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้อีกด้วย 3. ปลูกฝังนิสัยเก็บของเก่าก่อนเล่นของใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ปล่อยทิ้งเลอะเทอะ การสอนวิธีนี้ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวลูกมากที่สุด หากทุกครั้งที่เล่นของเล่นเขาจะมีวินัยและเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นนิสัยพื้นฐานที่สามารถปฏิบัติตามได้ง่าย แต่กว่าจะฝึกให้ลูกนั้นเข้าใจในสิ่งที่เราคาดหวังได้นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทนสักเล็กน้อย เพราะนิสัยของเด็กแล้วหากอยากเล่นสิ่งใดมักจะชอบรื้อสิ่งของออกมาวางกองรวมกันเพื่อความสนุกสนานนั้นเอง หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกนั้นเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นควรที่จะปฏิบัติเป็นตัวอย่างจะทำให้เขาติดเป็นนิสัยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 4. ติดป้ายระบุที่เก็บให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เขาเก็บของเล่นได้ถูกที่ ตัดปัญหาความสงสัยว่าจะเก็บของเล่นชิ้นนี้ไว้ที่ไหนดีนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถรังสรรค์ป้ายระบุสถานที่เก็บให้มีลักษณะตัวการ์ตูนที่น่ารักดูดความสนใจกันได้เลย หรืออาจจะเป็นป้ายคำศัพท์ระบุทำเป็นเกมจับคู่ก็สามารถเพิ่มความสนุกได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง  5. สิ่งของไหนไม่จําเป็นก็ทิ้งไป หลักการนี้นอกจากจะช่วยให้บ้านนั้นสะอาดเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ลูกรู้จักตัดสินใจ และมีกระบวนการทางความคิด แยกแยะสิ่งของที่จำเป็นออกจากสิ่งของที่ไม่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น โดยพยายามทำให้ทุกอย่างเก็บกวาดได้ง่ายที่สุด จะทำให้ลูกนั้นอยากที่จะทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น […]

5 เทคนิค “เลี้ยงลูกแบบการปลูกต้นไม้” สร้างเด็กให้มีคุณภาพ

คู่มือสำหรับคุณแม่

ในปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่นั้นให้ความสำคัญกับเทคนิคการเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น เพราะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีแนวคิดรวมถึงหลักการในการเลี้ยงลูกที่ดีและสามารถพัฒนาให้ลูกนั้นเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ  เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสไตล์คนญี่ปุ่นเด็กจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างมาก เพราะเขามีหลักการในการอบรมสั่งสอนที่น่าสนใจ เช่น การเลี้ยงลูกแบบปลูกต้นไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิด ที่สร้างเด็กญี่ปุ่นให้เติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ  และ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีวันนี้เราจะนำเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่นมาฝากกัน จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ต้นกล้าจะเจริญเติบโตได้ดีต้องมีฐานดินที่ มั่นคง  ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะคาดหวังให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องปูรากฐานที่ดีให้กับลูกเสียก่อน ปลูกฝังนิสัยที่ดี ให้เขาค่อยๆซึมซับและเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการเจริญเติบโตตามช่วงวัย เปรียบเสมือนการเตรียมดินที่ดี และเมื่อถึงเวลา ลูกของคุณจะผลิดอกออกผลมาได้อย่างงดงาม  2. ดูแลต้นกล้าอย่าง ใจเย็น ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงลูกเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วการรอคอยอะไรสักอย่างนั้นมักจะต้องใช้เวลา เปรียบเสมือนต้นกล้าที่ใช้เวลาในการเจริญเติบโต คุณพ่อคุณแม่จึงควรปล่อยให้ต้นกล้านั้นค่อยๆเจริญเติบโต คอยหมั่นรดน้ำพรวนดิน เช่น การอบรมบ่มนิสัย ให้เขามีระเบียบวินัย ขยันหมั่นเพียร รู้จักกาลเทศะ เป็นต้น ถือเป็นการหล่อเลี้ยงอีกหนึ่งชีวิตที่จะให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์และแข็งแรง 3. ยอดอ่อนต้องการ การเอาใจใส่ ช่วงระยะในการเจริญเติบโตของต้นอ่อนนั้นค่อนข้างที่จะเปราะบาง ดังนั้นการบ่มเพาะต้นอ่อนให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นคุณจะต้องให้การเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ หากเปรียบเสมือนการเลี้ยงเด็กแล้วล่ะก็ คุณพ่อคุณแม่ควรจะรับฟังความคิดเห็นของลูกให้มาก ใช้เวลาว่างด้วยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกได้เป็นอย่างดี รวมถึงพยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น น่าอยู่ อยู่เสมอ ซึ่งทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น  4. เมื่อยอดใบชูขึ้นฟ้า ต้องไม่ควบคุม จนเกินไป […]

5 เทคนิคการเลี้ยงลูก ตอบโจทย์ในยุคสมัยปัจจุบัน

คู่มือสำหรับคุณแม่

เมื่อคุณกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นจะต้อง ทำความเข้าใจว่าทุกคนล้วนเกิดมาอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่าง ทำให้ระบบความคิดและการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องนั้นแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเมื่อคุณมีลูกน้อยเป็นของตัวเองแล้ว ก็ต้องอยากเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด อยากดูแลเขาให้เจริญเติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การอบรมสั่งสอนในรูปแบบเก่าหรือตามฉบับตายายนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ของการเลี้ยงดูในปัจจุบันเท่าที่ควร คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อยับยั้งกระบวนการคิดและลดปัญหาการเป็นคุณพ่อคุณแม่หัวโบราณ โดยเลี้ยงลูกตามคุณหมอเพื่อให้เขาเจริญเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพ และมีสุขภาพกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมเผชิญกับสังคมในทุกรูปแบบ วันนี้เราจึงมีเทคนิคในการเลี้ยงลูก และส่งเสริมให้ลูกนั้นเจริญเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยความคิดแนวใหม่ และยับยั้งการเป็นคุณพ่อคุณแม่หัวโบราณ จะมีเทคนิคใดบ้างและจะติดตามไปเลย  1. คุณพ่อคุณแม่ควรรับฟังปัญหาของลูกให้จบ เมื่อเกิดปัญหาใดก็ตามสิ่งแรกที่คุณพ่อควรปฏิบัติต่อลูกน้อย คือการรับฟังปัญหาของลูกให้จบก่อนที่จะตัดสินลูก เพราะแน่นอนว่าเมื่อเกิดปัญหาแล้ว ลูกนั้นไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีเพียงคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นที่พร้อมจะรับฟังเขา และเป็นที่ปรึกษาให้เขา ซึ่งการรับฟังรูปนั้นนอกจากจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจให้กับลูกแล้วยังช่วยให้ลูกเป็นคนกล้าที่จะเล่าปัญหาต่างๆให้เรารับฟังอีก จะทำให้เราได้รู้ถึง กระบวนการความคิดของลูกและสั่งสอนลูกได้ถูกทางนั้นเอง 2. ทำความเข้าใจในตัวตนของลูกผ่านมุมมองของลูก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เราควรทำความเข้าใจในตัวเขาผ่านทางมุมมองของความเป็นเด็ก ไม่ใช่มองในมุมมองของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เขาเป็นในแบบที่เราต้องการ การปฏิบัติวิธีนี้จะทำให้เรารู้และเข้าใจในความเป็นตัวตนของเขาได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการมองในมุมมองของลูกนั้นจะช่วยให้เรารับมือและจัดการกับปัญหาต่างๆได้ง่ายและตรงจุดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 3. เคารพสิทธิ์ของลูก คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องไม่ยึดแนวคิดว่า ลูกคือสมบัติของเรา เพราะเด็กทุกคนที่เกิดมาล้วนแล้วต้องการใช้ชีวิตในรูปแบบของตน ต้องการความเป็นอิสระ ต้องการเป็นตัวของตัวเอง หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ดีคือการเลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยไม่จำกัดกรอบ โดยไม่บังคับลูกให้เติบโตมาในรูปแบบที่เราต้องการ คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่คอยปกป้องและ ประคองค้ำจุนให้ลูกนั้นเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เขาออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง 4. ย้อนเวลานึกถึงเราตอนยังเป็นเด็ก แน่นอนว่าทุกคนมีช่วงเวลาในวัยเด็กด้วยกันทั้งนั้น ตอนเด็กเราอยากให้พ่อแม่ใส่ใจเราขนาดไหน หรืออยากได้ความรักในรูปแบบไหน […]

5 ช่วงวัยของเด็ก จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมทางดนตรีที่แตกต่างกัน

คู่มือสำหรับคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยเป็นอย่างมาก ดนตรีเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน ซื้อตัวนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยชูใจที่ทำให้เราเพลิดเพลินแล้วแต่ยังมีประโยชน์ ต่อพัฒนาการทางด้านต่างๆของเด็กเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กในวัยทารกจะช่วยส่งเสริมทักษะทางด้านดนตรีให้ลูก ได้เป็นอย่างดีซึ่งเด็กที่มีดนตรีในหัวใจจะช่วยให้เขามีปัญหากันทั้งด้านต่างๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแตกต่างจากเด็กทั่วไป ซึ่งประโยชน์ของดนตรีกับพัฒนาการของลูกนะจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการได้แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดนตรีจะมีประโยชน์กับช่วงวัยไหนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เด็กในวัย 4-8 เดือน ชื่นชอบเป็นอย่างมากกับ เสียงดนตรีกุ๊งกิ๊ง โดยของเล่นแนะนำได้แก่กองใบเล็ก กระดิ่ง ลูกแซก เป็นเครื่องเล่นที่มีเสียง เมื่อเขย่า จะช่วยเสริมสร้างเชาว์ปัญญา เด็กในวัยนี้กิจกรรม ทางด้านดนตรี จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้โดยการจัดของเล่นและเครื่องดนตรีที่มีเสียงกุ๊งกิ๊ง หรือเครื่องดนตรีที่เป็นประเภทตีกระทบ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะวางเครื่องดนตรีเหล่านี้ไว้ใกล้ๆตัวของลูก การเขย่าหรือการขอเครื่องดนตรีนี้จะช่วยดึงดูดความสนใจ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ถามว่าพูดคำศัพท์ 2-3 คำประกอบกับการเขย่าอยู่เครื่องดนตรีเหล่านั้นจะช่วยให้ลูกนั้นเรียนรู้ผ่านเสียงดนตรีได้เป็นอย่างดี 2. เด็กในวัย 8 ถึง 12 เดือน  เครื่องดนตรีที่เหมาะสมสำหรับลูกคือ ไซโลโฟน คีย์บอร์ด หรือเครื่องดนตรีที่ กด เป่า ตี แล้วมีเสียง ถือเป็นกิจกรรมทางดนตรีที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยนี้ ของเล่นประเภทนี้จะช่วยให้ลูกนั้นเรียนรู้เสียงของดนตรีได้ด้วยตัวเอง จะทำให้เขาตื่นตาตื่นใจและสนุกสนานกับเสียงดนตรีนี้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับลูกโดยทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้เด็กเรียนแบบทั้งในด้านของเสียง ดัง เบา และความเร็ว ช้าของจังหวะดนตรี จะทำให้ลูกนั้นเกิดความรู้สึกท้าทายมากยิ่งขึ้น 3. เด็กในวัย 1-2 ขวบ  การเล่นดนตรีตามจังหวะเพลงด้วยการเขย่า […]

5 ประโยชน์ ของการเล่นบทบาทสมมติ ช่วยเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คู่มือสำหรับคุณแม่

การเป็นเด็กกล้าแสดงออกนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างลักษณะนิสัยของลูกให้เป็นเด็กที่กล้าแสดงออกได้ด้วยการเล่นบทบาทสมมติ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีประโยชน์และพัฒนาทักษะที่หลากหลายให้กับลูกได้เป็นอย่างดี หากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่กำลังประสบปัญหากับลูกน้อยพูดอยู่เพียงลำพังหรือเล่นกับตุ๊กตา หรือไม่มีทักษะการเข้าสังคมที่ดี รวมไปถึง ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในวัยกำลังเรียนรู้ ซึ่งการเล่นบทบาทสมมุตินั้นจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งในการกล้าแสดงออกหรือสามารถช่วยพัฒนาทักษะทางด้านภาษา อารมณ์ ความจำ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์และการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย วันนี้เราจึงรวบรวมประโยชน์ของการเล่นบทบาทสมมติมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ทราบ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะสามารถช่วยพัฒนาทักษะใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. พัฒนาทักษะทางด้านภาษา การเล่นบทบาทสมมุติจะช่วยให้ลูกน้อยรู้จักใช้คำที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นรู้จักการพูดจาในหลากหลายรูปแบบ ยิ่งเขาได้เล่นเป็นตัวละครที่มีหลายบทบาทมากเท่าไหร่จะยิ่งช่วยพัฒนาการทางระดับภาษามากขึ้นเท่านั้น เช่นการชวนลูกเล่นเป็นชาวต่างชาติหรือลองเรียนแบบภาษาต่างๆหรือพยายามออกสำเนียงให้คล้ายกับเจ้าของภาษาให้ได้มากที่สุดจะทำให้ลูกพัฒนาทักษะในด้านภาษาได้เป็นอย่างดี 2. พัฒนาทางด้านความจำ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยให้เขาจดจำและพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลของลูกให้ดียิ่งขึ้น เพราะทุกครั้งที่มีการแสดงจำเป็นจะต้องมีการวางแผน โดยกระบวนการทั้งหมดจะถูกกลั่นกรองออกมาจากสมองของเด็กทำให้เขามีความคิดที่เป็นระบบอยู่ตลอดเวลา ว่าเขาจะแสดงออกมาในลักษณะไหน เช่นการจำบทบาท จำสิ่งของที่ต้องใช้ในตัวละครนั้นๆ เป็นต้น ดังนั้นการเล่นบทบาทสมมุติจึงช่วยพัฒนาการทางด้านความจำได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 3. พัฒนาทักษะทางด้านอารมณ์ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยให้ลูกน้อยนั้นเข้าใจถึงอารมณ์ในรูปแบบต่างๆ นักแสดงออกมาทางสีหน้าหรือท่าทาง เช่นอารมณ์ไหนที่ลูกกำลังเสียใจ กำลังโกรธ หรือกำลังมีความสุข การเล่นเช่นนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจกิริยาของลูกได้ง่ายยิ่งขึ้น และเข้าถึงอารมณ์ของลูกได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง รวมถึงลูกจะสามารถการแสดงอารมณ์ให้รับรู้ตามความต้องการของเขาได้มากยิ่งขึ้น ไม่กลายเป็นเด็กเก็บกด นี่ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตัวเด็ก 4. พัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคสมัยนี้ต้องการเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยต่อยอดจินตนาการของเขาให้ออกมาเป็นภาพหรือเป็นเสียงรวมไปถึงการส่งผ่านทางด้านร่างกายและสติปัญญาให้ออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะที่เขาต้องการได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เขามีความคิดที่อยากจะรังสรรค์ตัวละครออกมาให้สนุก และแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์นี้จะเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกหรือตามจินตนาการของเขานั่นเอง 5. พัฒนาทางด้านสังคม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก การที่ลูกกล้าแสดงออกและรู้จักการวางตัวให้เป็นอยู่ในแต่ละบทบาทจะช่วยให้เขามีความกล้าที่จะพูดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น รู้จักการเข้าหาและปรับตัวให้เป็นธรรมชาติกับผู้อื่น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นมาจะทำให้เขามีสังคมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น […]

5 เคล็ดลับ เพิ่มความสูงให้กับลูกน้อยอย่างได้ผล

คู่มือสำหรับคุณแม่

เมื่อพูดถึงความสูงแล้วก็เชื่อว่าแม่ทุกคนต้องอยากให้ลูกนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่แข็งแรงฉลาดและมีบุคลิกภาพที่ดี  และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กนั้นมีบุคลิกภาพที่ดีเป็นอันดับต้นๆเลยนั่นก็คือในเรื่องของความสูง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสูงนั้นมีอีกคนต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่าง ความสูงนั้นเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน เช่นในเรื่องของอาชีพการงาน ที่ใช้ความสูงเป็นเกณฑ์ในการรับเข้าทำงาน  เช่น แอร์โฮสเตส ตำรวจ ทหาร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าอาชีพเหล่านี้อาจเป็นอาชีพในฝันของเด็กๆหลายๆคน วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเพิ่มความสูงให้กับลูกน้อยมาฝากกัน ซึ่งวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นรับรองว่าใช้แล้วได้ผล นอกจากจะเพิ่มความสูงให้กับลูกได้แล้วยังช่วยให้ลูกนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้อีกด้วย จะมีวิธีใดบ้าง ไปติดทางไปเลย 1. ชวนลูกออกกำลังกาย วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ลูกฝึกมีการเข้าสังคมที่ดีแล้ว ยังส่งผลดีกับสุขภาพของลูกได้อีกด้วย การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ลูกนั้นสูงได้  การออกกำลังกายนี้นอกจากจะช่วยให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงแล้วยังช่วยเพิ่มกิจกรรมในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกๆออกกำลังกายง่ายๆได้เช่นการชวนลูกเต้นแอโรบิค ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยนี้ พอได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอและไม่หนักจนเกินไป ที่สำคัญการออกกำลังกายควรทำติดต่อกันอย่างน้อยวันละ 30 นาทีเป็นประจำจะช่วยให้ลูกนั้นสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หรือหาครอบครัวไหนอยากให้ลูกสูงไวๆลองให้ลูกกระโดดเชือก กระโดดแทมโพลีน หรือแม้กระทั่งกระโดดแตะก็เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ช่วยเพิ่มความสูงได้ 2. ชวนลูกเข้านอนก่อน 3 ทุ่ม ถือเป็นช่วงเวลาการนอนที่ดีและเพียงพอสำหรับลูกวัยกำลังโตเพราะช่วงนั้นร่างกายกำลังจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Growth hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและเรื่องของพัฒนาการให้สมบูรณ์สมวัย ที่สำคัญฮอร์โมนนี้ยังช่วยกระตุ้นให้กระดูกของลูกเจริญเติบโตมากขึ้นในแนวยาวได้อีกด้วย จึงทำให้ลูกมีความสูงที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง  3. ทานโปรตีน เช่นเนื้อ นม และไข่ นอกจากจะให้ลูกทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่แล้วหากอยากให้ลูกน้อยมีความสูงที่เพิ่มมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเน้นที่อาหารที่ทำมาจากโปรตีนเนื้อสัตว์เช่น นม ไข่ เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ต่างจากโปรตีนจากพืช อาหารเหล่านี้จึงถือเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูงสุดนั่นเอง ซึ่งโปรตีนจากพืชส่วนมากมักขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด […]

5 เคล็ดลับ ในการเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีพฤติกรรมที่น่ารัก ไม่ให้เป็นเด็กหัวโจก

คู่มือสำหรับคุณแม่

เมื่อลูกถึงวัยที่ต้องเข้าโรงเรียนไปเจอกับสังคมใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าอีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่นั้นกังวลใจคือการเข้าสังคมและการมีเพื่อนที่ดี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจเคยเห็นสถานการณ์เรื่องของการทำร้ายร่างกายกันภายในโรงเรียนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมรุนแรงเหล่านี้เกิดจากการเลี้ยงดูและเกิดจากสถาบันครอบครัวเป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากให้ลูกไปทำร้ายใครเช่นเดียวกัน ดังนั้นหน้าที่ที่สำคัญคือการอบรมบ่มนิสัยของลูกให้มีพฤติกรรมที่น่ารัก ไม่เกเร และไม่ทำร้ายผู้อื่นก่อนจนกลายเป็นเด็กหัวโจกนั่นเอง  วันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับในการเลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นเด็กน่ารัก จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ใส่ใจลูกให้มากขึ้น สถาบันครอบครัวและการเลี้ยงดูคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กที่เป็นหัวโจกนั้นเมื่อมองรากฐานนิสัยของเขาแล้วจะพบว่าการที่เขาทำร้ายคนอื่นเป็นเพราะว่าการทำเช่นนี้จะได้รับการยอมรับจากเพื่อน และจะมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น ซึ่งนั่นอาจหมายถึงเขากำลังรู้สึก ขาดความอบอุ่น จึงอยากจะได้รับการเติมเต็มๆจากเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุหลักมาจากสถาบันครอบครัวนั้นเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรให้เวลาคุณภาพกับลูกให้มากที่สุด ใส่ใจเขาให้มาก ให้ลูกรู้สึกว่าบนโลกนี้เขายังมีคนที่รักและปรารถนาดีกับเขามากที่สุด 2. อย่าตามใจลูกจนเกินไป แน่นอนว่าการตามใจตลอดเวลานั้นไม่ใช่การแสดงความรักที่ถูกต้อง อีกทั้งการตามใจตลอดเวลานั้นอาจส่งผลร้ายกับเด็กโดยตรง เพราะนั่นอาจทำให้เขาเรียนรู้ว่าเขาจะทำอะไรพ่อแม่ก็ตามใจอยู่แล้ว ไม่เคยขัดใจถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็ตาม ลักษณะนิสัยแบบนี้ถือเป็นอันตรายสำหรับเด็กอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่จึงต้องปลูกฝัง และบ่มนิสัยของลูกตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ควรตามใจมากจนเกินไป จนเขาติดเป็นนิสัย 3. ไม่ควรเข้าข้างลูกในทุกเรื่อง คุณพ่อคุณแม่บางคนรักมืดมากจนมองข้ามข้อเสียของลูกไป มองแต่ด้านดีของลูก ซึ่งนั่นถือเป็นการให้ท้ายและทำให้ลูกนั้นได้ใจหากทำผิดคุณพ่อคุณแม่ก็ยังเข้าข้าง จนลูกมีพฤติกรรมทำผิดจนเป็นนิสัยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หน้าที่ที่สำคัญของพ่อแม่คือการอบรมสั่งสอนให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำ หากทำผิดก็ต้องได้รับโทษ หรือหากทำถูกต้องจะได้รับคำชมเชยเป็นต้น การสั่งสอนลูกเช่นนี้จะช่วยแก้พิธีกรรมที่ไม่ดีของลูกได้ตั้งแต่ยังเล็กร้านจะยิ่งส่งผลดีให้กับเขาในอนาคตภายหน้า 4. เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าลูกเป็นเงาสะท้อนของพ่อแม่ พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็จะเป็นเช่นนั้น เพราะเด็กเรียนรู้พฤติกรรมการเลียนแบบจากคนสนิทใกล้ชิดกับเขามากที่สุด การที่เขาได้เห็นพฤติกรรมอะไรซ้ำซ้ำบ่อยๆเขาจะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วเขาจะเลียนแบบจนติดเป็นนิสัย เช่นพ่อแม่ชอบพูดคำหยาบใส่กัน หนูก็จะคิดว่าคำหยาบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นเรื่องปกติที่คนเราพูดต่อกัน หรือหาพ่อแม่มีนิสัยชอบทะเลาะทำร้ายร่างกายกัน […]

5 เคล็ดลับในการดูแลผิวของลูกน้อย ให้สะอาดและสุขภาพดี

คู่มือสำหรับคุณแม่

การอาบน้ำชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ร่างกายของลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก เด็กๆส่วนมากมักจะไม่ค่อยชอบอาบน้ำกันสักเท่าไหร่นะกว่าจะพาอาบได้ก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะลูกเคยอาบน้ำแล้วเจอเหตุการณ์ที่ฝังใจหรือรู้สึกไม่สบายตัว จึงทำให้รู้สึกไม่อยากอาบน้ำนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยปละละเลย วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการอาบน้ำและดูแลผิวของลูกมาฝากกัน ซึ่งเทคนิคที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นจะช่วยเปิดประสบการณ์ในการอาบน้ำของลูกใหม่ ที่มีความอ่อนโยน อีกทั้งยังสนุกไปกับการอาบน้ำอีกด้วยพร้อมทั้งบำรุงผิวพรรณของลูกน้อยให้สุขภาพดี จะมีเคล็ดลับใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. อาบน้ำโดยใช้น้ำอุ่นที่กำลังพอดี การอาบน้ำนอกจากจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากตัวลูกแล้วยังนับเป็นช่วงเวลาที่จะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดีอีกด้วยถึงแม้เวลาจะสั้นแต่มีความหมายอย่างมาก โดยการอาบน้ำลูกน้อยนั้นเราควรใช้น้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิกำลังดีหรือใช้น้ำอุณหภูมิห้อง เพราะถ้าหากน้ำร้อนเกินไปจะทำให้ผิวของลูกสูญเสียความชุ่มชื้น  ซึ่งความสูงที่ใช้ในการอาบน้ำลูกนั้นไม่ควรเกินระดับเอว เราไม่ควรให้ลูกแช่อยู่ในน้ำนานเกิน 10 นาทีเพราะอุณหภูมิของน้ำจะค่อยๆลดลง  และอาจทำให้ลูกนั้นหนาวการอ่านการเป็นประสบการณ์การอาบน้ำที่ไม่ดีแล้วฝังใจของลูกไปเลยก็ได้  2. ช่วยนวดศีรษะของลูก ขณะสระผมจะทำให้ลูกนะรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น โดยศีรษะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เหงาออกเยอะมากเป็นพิเศษหากไม่ได้สระผมก็จะทำให้เกิดการหมักหมมและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ลูกอาจจะรู้สึกไม่สดชื่นและไม่สบายตัว อีกหนึ่งสาเหตุที่เด็กๆไม่ชอบสระผมแม่นก็อาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์น้ำเข้าตา หรือแชมพูเข้าตาทำให้รู้สึกแสบจนกลายเป็นพฤติกรรมฝังใจนั่นเอง แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการนวดศีรษะของลูกน้อยนั้นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น แล้วจะทำให้ลูกนั้นรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวได้มากเลยทีเดียว 3. ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่อ่อนโยนสำหรับผิว ซึ่งผิวของเด็กๆนั้นจะบอบบางเป็นพิเศษเพราะฉันผิวของลูกยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนต่อผิวของลูกน้อย  ส่วนประกอบที่ใช้ควรได้จากสารสกัดธรรมชาติ  organic และ ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้สำหรับลูก ปราศจากเหมือนกันเสีย สารเพิ่มความหนืด และสารที่ทำให้เกิดฟอง จะช่วยรักษาสมดุลของผิวและช่วยปกป้องแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ทั้งสระผมและอาบน้ำในเวลาเดียวกันจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มากเลยทีเดียว  4. นวดตัวด้วยโลชั่นที่มีกลิ่นหอม คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการนวดตัวลูกเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการนวดตัวยังมีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านสุขภาพและอารมณ์ให้กับลูกได้เป็นอย่างดี เพราะการสัมผัสเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความรักได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้กินหอมจากโลชั่นจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านระบบประสาทสัมผัสทางจมูกช่วยให้ลูกน้อยและผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นได้ 5. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับช่วงวัย ช่วงวัยของลูกนั้นมีความสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเป็นอย่างมาก เพราะเด็กในแต่ละช่วงวัย จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่นเด็กแรกเกิด 0-12 […]

5 กิจกรรมสร้างสรรค์ ที่อยู่บ้านก็ชวนลูกสนุกได้ พร้อมพัฒนาทักษะทางด้านต่างๆของลูกอย่างครบครัน

คู่มือสำหรับคุณแม่

ช่วงนี้เด็กปิดเทอมถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาทองที่คุณพ่อคุณแม่จะได้รังสรรค์กิจกรรมต่างๆมาเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยและช่วยกระชับความสัมพันธ์กันภายในครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น การเล่นกิจกรรมต่างๆกับลูกน้อยจะช่วยให้เขามีพัฒนาการและทักษะการดำเนินชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอีกทั้งยังช่วยสร้างความไว้วางใจ ช่วยให้เขาเปิดเผยความเป็นตัวตนให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างครบถ้วน เช่นการพาไปเที่ยว หรือเล่นกิจกรรมเสริมทักษะต่างๆนอกบ้าน จะทำให้เขาได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และช่วยฝึกฝนพัฒนาการทางด้านสมองให้ดีได้ยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงมี 5 กิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกน้อง  กิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกน้อยและ ช่วยให้เขาฝึกฝนทักษะทางด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีกิจกรรมใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สร้างสนามเด็กเล่นในบ้าน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เด็กๆจะชื่นชอบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบอลที่เจ้าตัวเล็กจะได้วิ่งเล่นทั้งวันโดยคุณสามารถยกบอกบอลมาไว้ในบ้านได้ หากบ้านไหนมีคอกกั้นเป็นนวมแบบนั้นก็ง่ายเลยเพียงแค่สั่งซื้อรางวัลพลาสติกมาใส่ไว้ในบ่อให้เต็ม เราก็จะเนรมิตบ่มวนไว้ให้ลูกๆได้เล่นที่บ้านได้อย่างง่ายๆ อีกทั้งยังสะอาดปลอดภัย ให้ลูกๆได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่กันได้เลย 2. เล่านิทาน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเล่นกับลูกได้ ซึ่งการเล่านิทานนั้นมีประโยชน์มากๆเลยทีเดียวคุณพ่อคุณแม่จะใช้ช่วงเวลาทองเหล่านี้ ด้วยการเล่านิทานที่สอดแทรกคุณธรรม หรือคติสอนใจบางอย่าง การเล่านิทานจะช่วยพัฒนาทักษะการฟังและการจับใจความให้กับลูกได้เป็นอย่างดีบางครั้งเราอาจจะสลับให้ลูกเป็นคนอ่านบ้างจะช่วยพัฒนาทักษะในการอ่านและการเล่าเรื่องไปในตัวอีกด้วย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถที่จะใช้บทบาทสมมติเป็นตัวละครในนิทานเพื่อเสริมสร้างจินตนาการให้กับลูกได้อีกด้วย 3. ทำอาหารแสนอร่อยด้วยกัน การทำอาหารถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยได้ใช้เวลาร่วมกัน โดยคุณพ่อคุณแม่อาจหาเมนูอาหารง่ายๆมาสอนลูกในวันหยุดเช่น การทำวุ้น ในรูปสัตว์ต่างๆ หรือช่วยให้ลูกเป็นผู้ช่วยเตรียมอาหารหรือหยิบจับสิ่งของเล็กๆน้อยๆจะทำให้เขารู้สึกของการมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของการทำกับข้าวในมื้อนี้ได้เป็นอย่างดี การทำอาหารร่วมกันจะช่วยให้ลูกน้อยเปิดกว้าง ได้เห็นมุมมองใหม่ๆและสนุกกับการทำได้มากยิ่งขึ้น 4. ชวนลูกเล่นของเล่นเสริมพัฒนาการ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกและเด็กๆชื่นชอบเป็นอย่างมาก การเล่นของเล่นนั้นนอกจากจะสนุกแล้วยังมีประโยชน์ได้พัฒนาทักษะในหลากหลายด้านได้ยินดีด้วยคุณพ่อคุณแม่อาจเลือกของเล่นเสริมพัฒนาการลูกน้อยชื่นชอบเช่น ตัวต่อไม้ ตัวต่อเลโก้หรือของเล่นที่มีเสียงต่างๆเพราะจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และเสริมสร้างจินตนาการให้กับลูกได้เป็นอย่างดี รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้เวลาร่วมกันได้มีความสุขมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 5. วาดรูประบายสี เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เด็กๆจะชื่นชอบเป็นอย่างมากเพียงแค่มี กระดาษกลับสีก็สามารถสนุกร่วมกันได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการวาดรูประบายสีนั้นมีประโยชน์ต่อเจ้าตัวน้อยเป็นอย่างมากเพราะจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กและช่วยให้ลูกมีจินตนาการก้าวไกลได้อีกด้วย เวลาที่ลูกวาดรูประบายสีจะเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาคุณพ่อคุณแม่จะลงไปนั่งเล่นหรือว่าเป็นเรื่องเป็นราวกับลูกสลับกันว่าสลับกันระบายสีก็สามารถช่วยสร้างสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับครอบครัวได้ทุกๆครอบครัว ซึ่งกิจกรรมที่เรานำมาฝากนั้นสามารถเล่นด้วยกันได้อย่างง่ายดาย […]