6 ประโยชน์ จากอ้อมกอดของแม่ ที่ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยโดยตรง
อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่นะเนี่ยมีประโยชน์และส่งผลต่อพัฒนาการของลูกโดยตรงโดยเฉพาะเด็กในช่วงวัย 2-3 ขวบ เป็นช่วงวัยที่เขากำลังเจริญเติบโตและมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองมาก รู้จักอารมณ์โกรธ โมโห อารมณ์มีความสุข อารมณ์เศร้า น้อยใจ ดังนั้นเด็กในช่วงวัยนี้จึงจำเป็นต้องได้รับความรักและการแสดงออกจากคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก และการแสดงออกที่มีประโยชน์และมีผลต่อจิตใจของลูกโดยตรงนั่นคืออ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วพฤติกรรมการก่อนการหอมลูกนั้นเป็นการสัมผัสทางกาย ที่ส่งผลต่อจิตใจโดยตรง เด็กจะรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความรักของคุณพ่อคุณแม่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการของลูกในทุกๆด้าน วันนี้เราจึงมีประโยชน์จากการก่อนลูกมาฝากกันจะมีอะไรบ้างและติดตามกันเลย 1. ช่วยให้ลูกสุขภาพดี สัมผัสรักทางกายโดยการกอดการหอมลูกนั้นจะช่วยกระตุ้น การหลั่งสาร ออกซิโทซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเมื่อลูกรู้สึกไว้วางใจ ซึ่งการกอดการหอมลูกนี้จะช่วยให้ลูกนั้นสัมผัสได้ถึงความรักและรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ โดยฮอร์โมนออกซิโทซินนี้เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์ไปกระตุ้นโกรทฮอร์โมน ให้หลั่งออกมามากขึ้นอีกด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าเด็กที่ได้รับการกอดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แข็งแรง นั่นเอง 2. ช่วยให้ลูกอารมณ์ดี อ้อมกอดที่แสนวิเศษของคุณพ่อคุณแม่นี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาการทางด้านสมองและร่างกายของลูกแล้ว ยังมีผลต่อพัฒนาการทางด้าน อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด จะสังเกตได้ว่าเด็กที่ร้องไห้งอแงอยู่บ่อยครั้งเมื่อเจอกับอ้อมกอดของคุณพ่อคุณแม่ เด็กจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย จนหยุดร้องไห้นั้นแปลว่าอ้อมกอดนั้นสามารถช่วยลดอารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กได้เป็นอย่างดี 3. อ้อมกอดของแม่ช่วยให้ลูกฉลาด การกอดนั้นสามารถไปกระตุ้นระบบประสาทและสมองของลูกให้มีการพัฒนาและเจริญได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีงานวิจัยที่ได้ทำการศึกษา พบว่า การกอดเพียง 15-20 นาทีต่อวัน เป็นเวลานาน 10 สัปดาห์ ติดต่อกัน ช่วยให้เด็กนั้นมีพัฒนาการทางสมองที่ดียิ่งขึ้น โดยมีผลการประเมินพัฒนาการทางสมองได้สูงขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าหากอยากให้ลูกมีพัฒนาการทางระบบประสาทและสมองที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นก่อนลูกเป็นประจำ รับรองว่าจะช่วยให้ลูกน้อยฉลาดขึ้นได้อย่างแน่นอน 4. […]
5 เคล็ดลับ ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อต้องเตรียมความพร้อมในการมีลูก
สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะสร้างครอบครัวหรือกำลังอยากจะมีลูกอยู่นั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดนั่นคือความพร้อมของสุขภาพในการตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากที่คุณแม่จะต้องเตรียมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้พร้อม เพราะการตั้งครรภ์นั้นคุณจะพบกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจไปอย่างสิ้นเชิง หากคุณแม่ท่านไหนที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ตัวอ่อนจะฝังตัว แล้วเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ดังนั้นวันนี้เราจึงมีวิธีในการปฏิบัติตัวเมื่อจะเตรียมพร้อมในการมีลูกมาฝาก สำหรับใครที่กำลังวางแผนอยากจะสร้างครอบครัวหรือยังจะมีลูก สามารถปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้ได้เลย 1. ตรวจสุขภาพ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการตรวจสุขภาพร่างกายของทั้งคุณภรรยาและสามีนั้นเป็นขั้นตอนพื้นฐาน เพื่อตรวจความพร้อมและความสมบูรณ์ของร่างกาย รวมไปถึงสามารถเช็คความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ได้ การตรวจสุขภาพนั้นมีประโยชน์อย่างมากถึงแม้ว่าภายนอกร่างกายจะดูแข็งแรงสุขภาพดี แต่ลักษณะภายในของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนนั้นร่างกายไม่เหมาะสมที่จะตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ บางคนนั้นมีโครโมโซมที่ผิดปกติ หรือรวมไปถึงมีโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ เช่น ธาลัสซีเมีย ดังนั้น ตรวจสุขภาพ จะสามารถทำให้ได้รู้ข้อจำกัด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างถูกต้องนั่นเอง 2. ทานกรดโฟลิก เมื่อคุณเตรียมความพร้อมที่จะตั้งครรภ์นั้นอย่าลืมที่จะทาน กรดโฟลิก เพราะจะช่วยให้ตัวอ่อนนั้นสร้างเนื้อเยื่อได้อย่างสมบูรณ์ และกรดโฟลิกมีความสำคัญ จะช่วยป้องกันและลดความผิดปกติของระบบประสาทได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยลดภาวะไขสันหลังไม่ปิด ได้อีกด้วย โดยสำหรับคุณแม่สามารถเสริมกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ ใน 1-3 เดือน น่าจะต้องทานอย่างต่อเอาไปจนตลอดอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ด้วยเหตุนี้เพราะในช่วงอายุครรภ์ที่ 3-4 สัปดาห์หลังปฏิสนธิจะเป็นช่วงที่เซลล์มีการสร้างระบบประสาทและสมองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง 3. ทานอาหารที่หลากหลาย นอกจากเรื่องสุขภาพแล้วเรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่พร้อมจะตั้งครรภ์ได้นั้นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และมีความหลากหลายโดยคุณจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่มีไขมันและน้ำตาลมากจนเกินไป ควรเลือกทานผักผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน แต่ต้องเป็นผักผลไม้ที่หลากสี ไม่ซ้ำซากจำเจ ทานอาหารประเภทแป้งให้เพียงพอสำหรับกับข้าวเช่นขนมปัง […]
7 วิธีลดความเครียด ในคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อลดผลกระทบต่อลูกน้อย
เป็นคุณแม่มือใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่กำลังปรับตัวอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อารมณ์และจิตใจอยู่นั้น อีกหนึ่งปัญหาที่คุณแม่จะต้องพบเจออย่างแน่นอนนั่นคือความเครียดสะสมรวมไปถึงความกังวลในเรื่องต่างๆมากมาย ซึ่งความเครียดเหล่านั้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ทั้งสิ้น แต่คุณแม่หลายท่านนั้นไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกหรือลดความเครียดเหล่านั้นลงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกายที่เปลี่ยนไป น้ำหนักที่เพิ่ม อาการแพ้ท้อง เหลืออารมณ์แปรปรวนต่างๆที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ วันนี้เราจึงมีวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเครียดอย่างได้ผลมาฝากให้กับคุณแม่มือใหม่กันเลย ซึ่งวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นสามารถปฏิบัติตามได้ง่าย จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. พักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งแรกเลยที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องปฏิบัติให้ได้นั่นคือการหาเวลาพักผ่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำหรับคุณแม่ท้องนั้นจะมีอาการอ่อนเพลีย ให้คุณแม่หาเวลาพักผ่อนในช่วงเวลากลางวัน จะทำให้อาการวิตกกังวลหรือความเครียดเหล่านั้นลดลงได้ รวมถึงคุณแม่จะรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ 2. สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว การเลือกใส่เสื้อผ้านั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะทำให้คุณแม่นั้นอาจเกิดอารมณ์หงุดหงิด หรือ เกิดความไม่สบายตัว ดังนั้นคุณแม่ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้า ที่ระบายอากาศได้ดี สวมใส่แล้วรู้สึกสบายตัว ไม่อึดอัด ไม่รัดหน้าท้อง จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น 3. เตรียมของใช้สำหรับลูก ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยผ่อนคลายให้กับคุณแม่ได้เป็นอย่างดี เตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับลูก จะช่วยให้คุณแม่นั้นได้แลกเปลี่ยนความคิดหรือได้แชร์ประสบการณ์กับคุณแม่ท่านอื่น รวมถึงได้เลือกของใช้ที่น่ารักให้กับลูก จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้คุณแม่ลดความกังวลและลดความเครียดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. ดูหนังฟังเพลงที่ชอบ หากคุณแม่รู้สึกว่ามีอาการตึงเครียดและวิตกกังวลมากจนเกินไป ควรรีบหากิจกรรมเสริมหรือกิจกรรมที่คุณแม่รู้สึกชอบเป็นพิเศษ เช่นการดูหนังฟังเพลง ดูคลิปตลก ดูคลิปท่องเที่ยว ดูคลิปทำอาหาร จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น ทำให้คุณแม่ใช้เวลาว่างอย่างมีความสุข 5. หาเวลาบำรุงผิวพรรณ แน่นอนว่าคุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านส่วนใหญ่จะพบกับปัญหาผิวแห้ง อยู่หน้าเป็นสิว คุณแม่มีความกังวลหรือมีความเครียดในเรื่องนี้ให้หาเวลาว่างบำรุงผิวพรรณ […]
6 วิธีรับมือ กับอาการแพนิคของคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กทารก
สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าอารมณ์ในช่วงของการตั้งครรภ์นั้นมีความแปรปรวนอย่างมาก ยิ่งคุณแม่เพิ่งตั้งท้องครั้งแรก บางคนจะมีอาการวิตกกังวล มีความเครียดรุมเร้า หรือรวมไปถึงโรคแพนิคต่างๆ ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงกับทารกในครรภ์ โดยเฉพาะโรคแพนิคที่ รุนแรงและมีผลต่อจิตใจโดยตรง อาการโดยรวม ส่วนใหญ่มักเกิดจากความเครียดและความวิตกกังวลมากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายของคุณแม่มีอาการตัวสั่นไปทั้งตัว มีการหายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ ส่งผลกระทบให้หัวใจเต้นเร็วและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆนั้นมีการเกร็งจนบางครั้งไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งคุณแม่จะต้องรับมือได้อย่างถูกวิธี วันนี้เราจึงมีวิธีในการรับมือกับโรคแพนิคมาฝากกัน จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ระบายความรู้สึกกับคนสนิท วิธีนี้จะช่วยให้คุณแม่นั้นรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักจะเกิดความวิตกกังวลต่างๆรวมถึงมีความเครียดสะสม การระบายความรู้สึกความกังวลต่างๆเหล่านี้ออกมาจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้นได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยคุณแม่อาจเลือกเล่าความรู้สึกกับคนภายในครอบครัว หรือจะใช้วิธีการเขียนระบายความรู้สึกก็ได้เช่นกัน 2. สติเป็นเรื่องที่สำคัญ หากคุณแม่พบว่าร่างกายกำลังประสบกับปัญหาของโรคแพนิคอยู่ ให้คุณแม่ควบคุมสติและอารมณ์ให้อยู่ เพราะโรคนี้มักเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด คุณแม่จึงต้องสงบนิ่ง ค่อยๆคิดทบทวนความรู้สึก และตั้งสติให้ดี หายใจเข้าลึกๆ พยายามอย่าคิดเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เป็นลบ เพราะจะทำให้จิตใจนั้นจมดิ่ง และเศร้าหมองกว่าเดิม 3. ออกกำลังกาย และหาเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ วิธีนี้จะช่วยได้มากเลยทีเดียว การออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดความสมดุล ทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาได้และช่วยให้ผ่อนคลายได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง วิธีการออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพนิคเช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ หรือรวมไปถึงการเล่นโยคะ ก็เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับคุณแม่กับทารกในครรภ์ ลดอาการกังวลได้เป็นอย่างดี 4. เข้าครอสเตรียมความพร้อมระหว่างตั้งครรภ์ ถือเป็นการเตรียมตัวเบื้องต้นสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่จะช่วยลดความกังวลและความเครียดลงได้มากเลยทีเดียว ทำให้คุณไม่มีความพร้อม มีความรู้ และมีความมั่นใจ […]
5 สัญญาณอันตราย ที่เตือนคุณแม่ตั้งครรภ์ควรรีบพบแพทย์ในทันที
สำหรับใครที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นนอกจากจะดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาแทรกแซงแล้วนั้นคุณแม่ยังจะต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นกับทารกภายในครรภ์ได้นั่นเอง ซึ่งการผิดปกติเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกท่าน โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แรก ยังไม่มีประสบการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จึงมักไม่ทราบว่าอาการความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันปกติหรือไม่ แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าอาการแบบไหนที่จะต้องรีบพบแพทย์ในทันที วันนี้เราจึงมี 5 สัญญาณอันตรายที่จะช่วยเตือนให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์นั้นที่พบแพทย์ในทันทีจะมีลักษณะอาการใดบ้างไปติดตามกันเลย 1. อาการเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ เลือดที่ออกทางช่องคลอดนั้นมักมีสาเหตุมาจาก รกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปกติแล้วลบจะลอกตัวออกจากผนังของมดลูกหลังจากที่เด็กนั้นได้คลอดออกมาแล้ว ถ้าหากคุณแม่สังเกตว่ามีอาการเลือดออกทางช่องคลอดอาจมีสาเหตุมาจากรกลอกตัวก่อนเด็กจะคลอดออกมาเนื่องจากครรภ์เป็นพิษ หรือส่วนมากมักเกิดจากการถูกกระแทกบริเวณท้องอย่างรุนแรง จนทำให้มีเลือดออกที่โพรงมดลูก ซึ่งเหตุการณ์นี้อันตรายมากอาจทำให้เด็กขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงและอาจเป็นสาเหตุให้เด็กเสียชีวิตในครรภ์ได้ ค้นหาคุณแม่ผมว่ามีอาการปวดหน้าท้อง หรือหน้าท้องแข็งตัว มดลูกโตอย่างรวดเร็ว เพราะเกิดจากเลือดขังอยู่ข้างใน ให้รีบพบแพทย์ในทันที 2. มีอาการบวมและความดันโลหิตสูง ซึ่งอาการบวมที่เกิดขึ้นนั้นมักจะเจอในไตรมาส 3 หรือไงคุณแม่ที่อายุครรภ์สูงแล้ว ต่างหากสังเกตว่าร่างกายของตัวเองมีอาการบวมอาจมีสาเหตุมาจากครรภ์เป็นพิษ ซึ่งใช้เป็นที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบกับคุณแม่ที่คนในครอบครัวมีประวัติความดันโลหิตสูง ในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์แฝดหากมีอาการดวงตั้งแต่หลังเท้า สายตาพร่ามัว ให้รีบพบแพทย์ทันทีเพราะคุณแม่อาจจะหมดสติลงได้ 3. ลูกในท้องดิ้นน้อยผิดปกติ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสำหรับคุณแม่จะต้องนับการดิ้นของทารกภายในครรภ์ซึ่งจะต้องดิ้นมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการดิ้นของลูก สามารถบอกสุขภาพที่แข็งแรงของลูกได้ โดยจะสังเกตได้ว่าลูกมักจะดิ้นหลังจากที่คุณแม่ทานอาหารเสร็จใหม่ๆ โดยการนับการดิ้นควรนับในอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไปและควรนับ 3 เวลาหลังอาหารเช้ากลางวันเย็น เพื่อเป็นการสังเกต และตรวจสอบความผิดปกติของทารกภายในขั้นด้วยนั่นเอง 4. น้ำเดินก่อนกําหนด น้ำเดินคือน้ำใสๆค่ะกระเป๋าเลยออกมาจากทางช่องคลอด หากเกิดเหตุการณ์นี้แสดงว่าถุงน้ำคร่ำนั้นแตกรั่ว หากพบว่ามีอาการน้ำใสๆไหลออกมาทางช่องคลอด […]
5 ข้อดีในการไว้ผมสั้นของคุณแม่ ช่วยลดปัญหาต่างๆได้อย่างลงตัว
สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ต้องดูแลลูกน้อยตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รวมถึงลักษณะนิสัยของคุณแม่ไปอย่างถาวร เมื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นแม่แล้ว หลายคนให้ความทุ่มเทกับลูก จนลืมดูแลตัวเอง แต่คุณแม่ทราบหรือไม่ว่า คุณแม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้จากการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของคุณแม่โดยการไว้ผมสั้นได้นะ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว การไว้ผมสั้นนอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณแม่เองแล้วยังมีประโยชน์ต่อการดูแลลูกน้อยอีกด้วย สาวผมสั้น จะมีข้อดีอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วง การที่คุณแม่ตัดสินใจไว้ผมสั้นจะช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับคุณแม่หลังคลอดใหม่ๆฮอร์โมนภายในร่างกายกำลังมีการปรับเปลี่ยน และ ยังไม่เกิดความสมดุล ทำให้เส้นผมบนหนังศีรษะของคุณแม่มีการหลุดร่วงเป็นจำนวนมาก หรือก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคุณแม่หลังคลอดที่จะต้องเจอกับปัญหานี้ ปัญหาผมขาดหลุดร่วงนี้อาจทำให้คุณแม่รู้สึกกังวลใจและเกิดความไม่มั่นใจเกิดขึ้น เพราะอาจทำให้ผมนั้นแลดูบางลงได้ ดังนั้นการไว้ผมสั้นจะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด เพราะเมื่อผมสั้น ร่างกายก็ต้องการสารอาหารที่จะไปหล่อเลี้ยงเส้นผมมันน้อยลง จะลดการขาดหลุดร่วงได้เป็นอย่างดี 2. ช่วยประหยัดเวลาในการสระผม และผมแห้งไวมากยิ่งขึ้น สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนเรื่องเวลานั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และหาเวลาว่างยากมาก ซึ่งอีกหนึ่งกิจกรรมที่ดึงดูดเวลามากพอสมควร นั่นก็คือการสระผมและการเป่าผม ยิ่งถ้าคุณแม่ท่านไหนไว้ผมยาวจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงในการเป่าผม ทำให้คุณแม่เสียเวลาตรงนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการไว้ผมสั้นจะช่วยประหยัดเวลาตรงส่วนนี้ไปได้มากเลยทีเดียว คุณแม่สามารถสระผมและเป่าผมให้แห้งได้อย่างรวด อีกทั้งยังไม่เปลืองน้ำยาสระผม หรือไม่ต้องเสียเวลาในการบำรุงเส้นผมมากมาย คุณแม่สามารถใช้เวลาที่เหลือเรานี้ไปดูแลลูกน้อยซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า 3. ช่วยลดความหงุดหงิดในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี คุณแม่ลูกอ่อนจะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาดูแลตัวเองนั้นมีน้อยมาก รวม ถึงเวลาพักผ่อนที่มีน้อยมากเช่นกัน ทำให้คุณแม่มีอารมณ์ที่แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ส่งผลให้อารมณ์หงุดหงิดนั้นเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนบางครั้งเผลออารมณเสียใส่ลูกไปบ้างก็มี ดังนั้น การตัดผมสั้น […]
5 ข้อคิดดีๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น
สำหรับใครที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จะต้องเตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่ที่คุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเป็นแม่คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นคุณแม่ที่ดีได้ ซึ่งการเป็นคุณแม่มือใหม่นั้นคุณจะต้องมีความพร้อมในหลายๆด้าน ที่จะดูแลลูกน้อยให้ดีที่สุด คุณจะต้องเตรียมหาเวลาให้กับลูกให้ได้มากที่สุด เด็กน้อยต้องการได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเจริญเติบโต รวมถึงคุณจะต้องมีความพร้อมในเรื่องของอารมณ์และจิตใจ ต้องรู้จักสงบนิ่ง มีความอ่อนโยน และอดทน เพราะจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายท่านมีความกังวลและกดดันในตัวเองมากเกินไป พยายามที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างดีและสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ไม่มีพ่อแม่ท่านไหนที่จะสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง เราจึงต้องค่อยๆเรียนรู้และก้าวไปพร้อมๆกันกับลูกน้อย วันนี้เราจึงมีข้อคิดดีๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขในการดูแลลูกได้มากยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. แม่ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกเรื่อง หลายคนพยายามเลี้ยงลูกน้อยให้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่แม่ทุกคนต่างก็มีความเก่งและความถนัดที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะสอนการบ้านลูกเก่งแต่ทำอาหารไม่ค่อยอร่อย ในขณะที่บางคนมีอารมณ์ศิลปิน เอนเตอร์เทนลูกให้มีความสุข เล่นสนุกสนาน แต่ไม่ถนัดเรื่องของการทำความสะอาด ดังนั้น คุณแม่จึงควรปล่อยวาง อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองถนัดและคิดว่าทำได้ดีและชื่นชมตัวเองอยู่บ่อยครั้งจะทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากยิ่งขึ้น 2. ช่างมันบ้าง เป็นอีกหนึ่งข้อคิดดีๆ เหมาะเป็นอย่างมาก สำหรับคุณแม่ที่มีนิสัยชอบคิดมาก ขี้กังวล พยายามจดจำ ทุกสิ่ง และเก็บทุกเรื่องมาคิด จนปวดหัวและพาให้คุณเป็นโรคเครียดสะสมได้ ซึ่งเข้าใจว่าคุณแม่มักจะต้องทำหน้าที่หลายๆอย่างใน 1 วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน การทำอาหาร ทำงานประจำ รวมไปถึงการดูแลลูกน้อย ซึ่งทุกหน้าที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย คุณแม่จะต้องปล่อยวาง อะไรที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องเก็บเอามาคิด เช่น […]
4 ดูด เทคนิคเรียกน้ำนม เพิ่มปริมาณน้ำนมได้อย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น และกำลังเป็นกังวลในเรื่องของปริมาณน้ำนมที่อาจจะไม่เพียงพอให้ลูกทานหมดกังวลไปได้เลยเพราะในปัจจุบันมีเทคนิคต่างๆมากมายที่จะสามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมให้กับคุณแม่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารเสริมเพื่อเรียกน้ำนม หรือการปฏิบัติตัวต่างๆปริมาณน้ำนมของคุณแม่ได้รวมไปถึง เทคนิค 4 ดูด ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ซึ่งก็สามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณแม่ให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างไรนอน จะมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ดูดเร็ว เทคนิคแรกที่คุณแม่จะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกเลยคือหลังจากการผ่าคลอดหรือผ่านการคลอดธรรมชาติมาแล้วคุณแม่จะต้องนำลูกมาเข้าเต้าให้เร็วที่สุด โดยในปัจจุบัน มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ตระหนัก และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก คุณหมอและพยาบาลจะรีบนำทารกให้คุณแม่บนเตียงทันที เพื่อที่จะได้กระตุ้นน้ำนม ให้น้ำนมของคุณแม่มาเร็วมากยิ่งขึ้น และยิ่งกว่านั้น ลูกน้อยเมื่อสัมผัสบนอกแม่ทันทีหลังคลอดจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นช่วงเวลาน่าประทับใจที่หาที่ไหนไม่ได้ 2. ดูดบ่อย เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถเล่นน้ำนมของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี คุณแม่มือใหม่ ควรกำหนดไว้ว่าการให้ลูกดูดนมบ่อยนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดมักจะหิวบ่อยประมาณทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เมื่อลูกหิวนมให้คุณแม่นำเข้าเต้าได้เลยทันทีจะช่วยให้น้ำนมของคุณแม่ไม่คัดจนเกินไป และนอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้น้ำนมของคุณแม่มาเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การให้ลูกดูดนมแม่นั้นนอกจากช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้าแล้วลูกดูดบ่อยเท่าไหร่จะทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำนมได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่ควรสังเกตลูกน้อยว่าหากมีอาการส่ายหน้าหาหัวนม หรือทำปาก ดูดนม นั่นเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังหิวให้พาเข้าเต้าได้เลยทันที 3. ดูดถูกวิธี หลายคนให้ลูกเข้าเต้าเป็นเวลานานแต่ทำไมลูกถึงไม่อิ่มเสียที อยู่ในบางคนลูกเข้าเต้าแล้วรู้สึกเจ็บหัวนมมากผิดปกติ นั่นหมายถึงว่าคุณกำลังให้ลูกดูดนมผิดวิธี การดูดนมอย่างถูกวิธีปากลูกจะต้องเปิดกว้าง เพื่องับลานนม เทคนิคการให้ลูกดูดนมถูกวิธี คือ ให้ลูกงับหัวนมให้ลึกที่สุด จนถึงลานนมจะทำให้ปริมาณน้ำนมน้ำไหลออกมาได้ดียิ่งขึ้น ทางจะต้องแนบเต้าจมูกชิดกับเต้านม หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าลูกดูดได้หรือไม่ให้สังเกตว่าลูกใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะ และได้ยินเสียงกลืนน้ำนมเป็นจังหวะ ตัวของลูกนั้นจะต้องอยู่ในแนวเส้นตรง จมูกไม่ถูกกดทับ และคุณแม่สามารถสบตากับลูกน้อยได้ 4. ดูดเกลี้ยงเต้า […]
5 วิธี ปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กรักความสะอาด
สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนแล้วเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ แน่นอนว่าหลังจากที่มีเจ้าตัวน้อยแล้วคุณพ่อคุณแม่จะต้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาภาระหน้าที่ จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่นั้นมีเวลาส่วนตัวน้อยลง รวมไปถึงเวลาที่จะดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่บ้านไหนมีลูกอ่อน จะมีสิ่งของกระจัดกระจายทั่วบ้าน แต่ถึงจะมีเวลาน้อยอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จะต้องปลูกฝังนิสัยการรักษาความสะอาดให้กับเจ้าตัวน้อยตั้งแต่เด็กๆ เพราะการดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้น่าอยู่และมีบรรยากาศที่ดีมีระเบียบวินัยช่วยให้ลูกน้อยซึมซับลักษณะนิสัยต่างๆเหล่านี้ตลอดจนเติบโต วันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคในการปลูกฝังลักษณะนิสัยรักความสะอาดให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็กช่วยให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย รู้จักดูแลสภาพแวดล้อมและตัวเองให้สะอาดถูกสุขอนามัยอยู่เสมอ จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก สำหรับลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่คือฮีโร่สำหรับเขา และเขาจะมีคุณเป็นแม่แบบ ดังนั้นหากคุณต้องการปลูกฝังนิสัยรักความสะอาดให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเขาจะค่อยๆซึมซับลักษณะนิสัยรักความสะอาดนี้เข้าไปโดยอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยพยายามจัดทุกอย่างให้อยู่เป็นหมวดหมู่ และแยกสิ่งของชนิดต่างๆลงกระบะหรือตะกร้าให้เรียบร้อย ทำสม่ำเสมออยู่เป็นประจำไม่นานเขาจะเริ่มเรียนรู้และเข้าใจและพร้อมที่จะทำตามนั้นเอง 2. สอนวิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องให้กับลูก เมื่อลูกเรียนรู้วิธีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง เขาจะสนุกกับการทำงานบ้านมากยิ่งขึ้น มีจุดมุ่งหมายในการทำความสะอาดอย่างชัดเจน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถทำความสะอาดหรือเก็บกวาดร่วมกันจนติดเป็นนิสัย นอกจากบ้านจะสะอาดแล้วยังได้ทำกิจกรรมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้อีกด้วย 3. ปลูกฝังนิสัยเก็บของเก่าก่อนเล่นของใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ปล่อยทิ้งเลอะเทอะ การสอนวิธีนี้ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวลูกมากที่สุด หากทุกครั้งที่เล่นของเล่นเขาจะมีวินัยและเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นนิสัยพื้นฐานที่สามารถปฏิบัติตามได้ง่าย แต่กว่าจะฝึกให้ลูกนั้นเข้าใจในสิ่งที่เราคาดหวังได้นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทนสักเล็กน้อย เพราะนิสัยของเด็กแล้วหากอยากเล่นสิ่งใดมักจะชอบรื้อสิ่งของออกมาวางกองรวมกันเพื่อความสนุกสนานนั้นเอง หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกนั้นเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นควรที่จะปฏิบัติเป็นตัวอย่างจะทำให้เขาติดเป็นนิสัยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 4. ติดป้ายระบุที่เก็บให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เขาเก็บของเล่นได้ถูกที่ ตัดปัญหาความสงสัยว่าจะเก็บของเล่นชิ้นนี้ไว้ที่ไหนดีนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถรังสรรค์ป้ายระบุสถานที่เก็บให้มีลักษณะตัวการ์ตูนที่น่ารักดูดความสนใจกันได้เลย หรืออาจจะเป็นป้ายคำศัพท์ระบุทำเป็นเกมจับคู่ก็สามารถเพิ่มความสนุกได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง 5. สิ่งของไหนไม่จําเป็นก็ทิ้งไป หลักการนี้นอกจากจะช่วยให้บ้านนั้นสะอาดเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ลูกรู้จักตัดสินใจ และมีกระบวนการทางความคิด แยกแยะสิ่งของที่จำเป็นออกจากสิ่งของที่ไม่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น โดยพยายามทำให้ทุกอย่างเก็บกวาดได้ง่ายที่สุด จะทำให้ลูกนั้นอยากที่จะทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น […]
5 เทคนิค “เลี้ยงลูกแบบการปลูกต้นไม้” สร้างเด็กให้มีคุณภาพ
ในปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่นั้นให้ความสำคัญกับเทคนิคการเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น เพราะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีแนวคิดรวมถึงหลักการในการเลี้ยงลูกที่ดีและสามารถพัฒนาให้ลูกนั้นเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสไตล์คนญี่ปุ่นเด็กจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างมาก เพราะเขามีหลักการในการอบรมสั่งสอนที่น่าสนใจ เช่น การเลี้ยงลูกแบบปลูกต้นไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิด ที่สร้างเด็กญี่ปุ่นให้เติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ และ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีวันนี้เราจะนำเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่นมาฝากกัน จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ต้นกล้าจะเจริญเติบโตได้ดีต้องมีฐานดินที่ มั่นคง ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะคาดหวังให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องปูรากฐานที่ดีให้กับลูกเสียก่อน ปลูกฝังนิสัยที่ดี ให้เขาค่อยๆซึมซับและเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการเจริญเติบโตตามช่วงวัย เปรียบเสมือนการเตรียมดินที่ดี และเมื่อถึงเวลา ลูกของคุณจะผลิดอกออกผลมาได้อย่างงดงาม 2. ดูแลต้นกล้าอย่าง ใจเย็น ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงลูกเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วการรอคอยอะไรสักอย่างนั้นมักจะต้องใช้เวลา เปรียบเสมือนต้นกล้าที่ใช้เวลาในการเจริญเติบโต คุณพ่อคุณแม่จึงควรปล่อยให้ต้นกล้านั้นค่อยๆเจริญเติบโต คอยหมั่นรดน้ำพรวนดิน เช่น การอบรมบ่มนิสัย ให้เขามีระเบียบวินัย ขยันหมั่นเพียร รู้จักกาลเทศะ เป็นต้น ถือเป็นการหล่อเลี้ยงอีกหนึ่งชีวิตที่จะให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์และแข็งแรง 3. ยอดอ่อนต้องการ การเอาใจใส่ ช่วงระยะในการเจริญเติบโตของต้นอ่อนนั้นค่อนข้างที่จะเปราะบาง ดังนั้นการบ่มเพาะต้นอ่อนให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นคุณจะต้องให้การเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ หากเปรียบเสมือนการเลี้ยงเด็กแล้วล่ะก็ คุณพ่อคุณแม่ควรจะรับฟังความคิดเห็นของลูกให้มาก ใช้เวลาว่างด้วยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกได้เป็นอย่างดี รวมถึงพยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น น่าอยู่ อยู่เสมอ ซึ่งทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น 4. เมื่อยอดใบชูขึ้นฟ้า ต้องไม่ควบคุม จนเกินไป […]