5 ข้อดีในการไว้ผมสั้นของคุณแม่ ช่วยลดปัญหาต่างๆได้อย่างลงตัว

คู่มือสำหรับ คุณแม่ ตั้งครรภ์ มือใหม่

สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ต้องดูแลลูกน้อยตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รวมถึงลักษณะนิสัยของคุณแม่ไปอย่างถาวร เมื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นแม่แล้ว หลายคนให้ความทุ่มเทกับลูก จนลืมดูแลตัวเอง แต่คุณแม่ทราบหรือไม่ว่า คุณแม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้จากการปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพของคุณแม่โดยการไว้ผมสั้นได้นะ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว การไว้ผมสั้นนอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณแม่เองแล้วยังมีประโยชน์ต่อการดูแลลูกน้อยอีกด้วย สาวผมสั้น จะมีข้อดีอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วง การที่คุณแม่ตัดสินใจไว้ผมสั้นจะช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับคุณแม่หลังคลอดใหม่ๆฮอร์โมนภายในร่างกายกำลังมีการปรับเปลี่ยน  และ ยังไม่เกิดความสมดุล ทำให้เส้นผมบนหนังศีรษะของคุณแม่มีการหลุดร่วงเป็นจำนวนมาก หรือก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคุณแม่หลังคลอดที่จะต้องเจอกับปัญหานี้ ปัญหาผมขาดหลุดร่วงนี้อาจทำให้คุณแม่รู้สึกกังวลใจและเกิดความไม่มั่นใจเกิดขึ้น เพราะอาจทำให้ผมนั้นแลดูบางลงได้ ดังนั้นการไว้ผมสั้นจะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด เพราะเมื่อผมสั้น ร่างกายก็ต้องการสารอาหารที่จะไปหล่อเลี้ยงเส้นผมมันน้อยลง จะลดการขาดหลุดร่วงได้เป็นอย่างดี 2. ช่วยประหยัดเวลาในการสระผม และผมแห้งไวมากยิ่งขึ้น สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนเรื่องเวลานั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และหาเวลาว่างยากมาก ซึ่งอีกหนึ่งกิจกรรมที่ดึงดูดเวลามากพอสมควร นั่นก็คือการสระผมและการเป่าผม ยิ่งถ้าคุณแม่ท่านไหนไว้ผมยาวจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงในการเป่าผม ทำให้คุณแม่เสียเวลาตรงนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการไว้ผมสั้นจะช่วยประหยัดเวลาตรงส่วนนี้ไปได้มากเลยทีเดียว คุณแม่สามารถสระผมและเป่าผมให้แห้งได้อย่างรวด อีกทั้งยังไม่เปลืองน้ำยาสระผม หรือไม่ต้องเสียเวลาในการบำรุงเส้นผมมากมาย คุณแม่สามารถใช้เวลาที่เหลือเรานี้ไปดูแลลูกน้อยซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า 3. ช่วยลดความหงุดหงิดในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี คุณแม่ลูกอ่อนจะทราบเป็นอย่างดีว่าเวลาดูแลตัวเองนั้นมีน้อยมาก รวม ถึงเวลาพักผ่อนที่มีน้อยมากเช่นกัน ทำให้คุณแม่มีอารมณ์ที่แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ส่งผลให้อารมณ์หงุดหงิดนั้นเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนบางครั้งเผลออารมณเสียใส่ลูกไปบ้างก็มี ดังนั้น การตัดผมสั้น […]

5 ข้อคิดดีๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

คู่มือสำหรับ คุณแม่ ตั้งครรภ์ มือใหม่

สำหรับใครที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น จะต้องเตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่ที่คุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเป็นแม่คนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นคุณแม่ที่ดีได้ ซึ่งการเป็นคุณแม่มือใหม่นั้นคุณจะต้องมีความพร้อมในหลายๆด้าน ที่จะดูแลลูกน้อยให้ดีที่สุด  คุณจะต้องเตรียมหาเวลาให้กับลูกให้ได้มากที่สุด เด็กน้อยต้องการได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเจริญเติบโต รวมถึงคุณจะต้องมีความพร้อมในเรื่องของอารมณ์และจิตใจ ต้องรู้จักสงบนิ่ง มีความอ่อนโยน และอดทน เพราะจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายท่านมีความกังวลและกดดันในตัวเองมากเกินไป พยายามที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างดีและสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ไม่มีพ่อแม่ท่านไหนที่จะสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง เราจึงต้องค่อยๆเรียนรู้และก้าวไปพร้อมๆกันกับลูกน้อย วันนี้เราจึงมีข้อคิดดีๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขในการดูแลลูกได้มากยิ่งขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. แม่ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกเรื่อง หลายคนพยายามเลี้ยงลูกน้อยให้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่แม่ทุกคนต่างก็มีความเก่งและความถนัดที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะสอนการบ้านลูกเก่งแต่ทำอาหารไม่ค่อยอร่อย ในขณะที่บางคนมีอารมณ์ศิลปิน เอนเตอร์เทนลูกให้มีความสุข เล่นสนุกสนาน แต่ไม่ถนัดเรื่องของการทำความสะอาด ดังนั้น คุณแม่จึงควรปล่อยวาง อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองถนัดและคิดว่าทำได้ดีและชื่นชมตัวเองอยู่บ่อยครั้งจะทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากยิ่งขึ้น  2. ช่างมันบ้าง เป็นอีกหนึ่งข้อคิดดีๆ เหมาะเป็นอย่างมาก สำหรับคุณแม่ที่มีนิสัยชอบคิดมาก ขี้กังวล พยายามจดจำ ทุกสิ่ง และเก็บทุกเรื่องมาคิด จนปวดหัวและพาให้คุณเป็นโรคเครียดสะสมได้ ซึ่งเข้าใจว่าคุณแม่มักจะต้องทำหน้าที่หลายๆอย่างใน 1 วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน การทำอาหาร ทำงานประจำ รวมไปถึงการดูแลลูกน้อย ซึ่งทุกหน้าที่มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย คุณแม่จะต้องปล่อยวาง อะไรที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องเก็บเอามาคิด เช่น […]

4 ดูด เทคนิคเรียกน้ำนม เพิ่มปริมาณน้ำนมได้อย่างน่าอัศจรรย์

คู่มือสำหรับ คุณแม่ ตั้งครรภ์ มือใหม่

สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น และกำลังเป็นกังวลในเรื่องของปริมาณน้ำนมที่อาจจะไม่เพียงพอให้ลูกทานหมดกังวลไปได้เลยเพราะในปัจจุบันมีเทคนิคต่างๆมากมายที่จะสามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมให้กับคุณแม่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารเสริมเพื่อเรียกน้ำนม หรือการปฏิบัติตัวต่างๆปริมาณน้ำนมของคุณแม่ได้รวมไปถึง เทคนิค 4 ดูด ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ซึ่งก็สามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณแม่ให้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างไรนอน จะมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย  1. ดูดเร็ว เทคนิคแรกที่คุณแม่จะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกเลยคือหลังจากการผ่าคลอดหรือผ่านการคลอดธรรมชาติมาแล้วคุณแม่จะต้องนำลูกมาเข้าเต้าให้เร็วที่สุด โดยในปัจจุบัน มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ตระหนัก และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก คุณหมอและพยาบาลจะรีบนำทารกให้คุณแม่บนเตียงทันที เพื่อที่จะได้กระตุ้นน้ำนม ให้น้ำนมของคุณแม่มาเร็วมากยิ่งขึ้น และยิ่งกว่านั้น ลูกน้อยเมื่อสัมผัสบนอกแม่ทันทีหลังคลอดจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นช่วงเวลาน่าประทับใจที่หาที่ไหนไม่ได้ 2. ดูดบ่อย เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถเล่นน้ำนมของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี คุณแม่มือใหม่ ควรกำหนดไว้ว่าการให้ลูกดูดนมบ่อยนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดมักจะหิวบ่อยประมาณทุกๆ 1-2 ชั่วโมง เมื่อลูกหิวนมให้คุณแม่นำเข้าเต้าได้เลยทันทีจะช่วยให้น้ำนมของคุณแม่ไม่คัดจนเกินไป และนอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้น้ำนมของคุณแม่มาเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การให้ลูกดูดนมแม่นั้นนอกจากช่วยระบายน้ำนมออกจากเต้าแล้วลูกดูดบ่อยเท่าไหร่จะทำให้ร่างกายของเราผลิตน้ำนมได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคุณแม่ควรสังเกตลูกน้อยว่าหากมีอาการส่ายหน้าหาหัวนม หรือทำปาก ดูดนม นั่นเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังหิวให้พาเข้าเต้าได้เลยทันที 3. ดูดถูกวิธี หลายคนให้ลูกเข้าเต้าเป็นเวลานานแต่ทำไมลูกถึงไม่อิ่มเสียที อยู่ในบางคนลูกเข้าเต้าแล้วรู้สึกเจ็บหัวนมมากผิดปกติ นั่นหมายถึงว่าคุณกำลังให้ลูกดูดนมผิดวิธี การดูดนมอย่างถูกวิธีปากลูกจะต้องเปิดกว้าง เพื่องับลานนม เทคนิคการให้ลูกดูดนมถูกวิธี คือ ให้ลูกงับหัวนมให้ลึกที่สุด จนถึงลานนมจะทำให้ปริมาณน้ำนมน้ำไหลออกมาได้ดียิ่งขึ้น ทางจะต้องแนบเต้าจมูกชิดกับเต้านม หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าลูกดูดได้หรือไม่ให้สังเกตว่าลูกใช้ลิ้นรีดน้ำนมเป็นจังหวะ และได้ยินเสียงกลืนน้ำนมเป็นจังหวะ ตัวของลูกนั้นจะต้องอยู่ในแนวเส้นตรง จมูกไม่ถูกกดทับ และคุณแม่สามารถสบตากับลูกน้อยได้ 4. ดูดเกลี้ยงเต้า […]

6 พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องรับมือ!!

คู่มือสำหรับคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่สังเกตไหมคะว่าชีวิตส่วนตัวนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่มีลูก ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกันอยู่ไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีครอบครัวหรือกำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นให้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องรับมือเมื่อมีลูกน้อย จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามตัวเลย 1. การนอนหลับไม่สนิท เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพบเจออย่างแน่นอน สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องจัดการกับตารางเวลาการพักผ่อน ให้ดี เพราะในช่วง 3 เดือนแรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องยังคงปรับตัวกับการมีสมาชิกใหม่ซึ่งจะต้องรับมือกับลูกน้อยในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางบ้านอาจจะพบกับปัญหาลูกร้องกลางดึกบ่อยมากเพราะหิวนม ต้องคอยตื่นมาให้นม ต้องคอยปั๊มนมตลอดเวลา หรือมีความกังวล ว่าลูกนั้นนอนหลับสนิทดีหรือเปล่า หรือต้องคอยตื่นมาห่มผ้าให้ลูกเพราะลูกนั้นนอนดิ้น ถามให้คุณอาจกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่หมีแพนด้าเลยก็ว่าได้ 2. กลายเป็นคนที่เสียสละมากกว่าที่เคย หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่นั้นจะต้องประสบกับปัญหาในการเลี้ยงลูกจนคนนั้นจะต้องเสียสละทั้งเวลาส่วนตัว สละเวลานอน เสียสละความสบาย เสียสละความเอาแต่ใจ บางคนนั้นอาจจะต้องเสียสละหน้าที่การงานเพราะต้องออกมาดูแลลูก ซึ่งทั้งหมดนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยผ่านจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติเพื่อลูกน้อย ถามคุณยังเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นและมีความรู้สึกที่มากขึ้น เพราะความรักที่เรามีให้ลูกนั้นมากมายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้  3. หมดเวลาสวีท เป็นอีกหนึ่งข้อที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องยอมรับ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอดจะเหนื่อยมากที่สุด เพราะนอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับตัวแล้ว เวลาการพักผ่อนยังน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจด้วยการไปดูหนัง ช๊อปปิ้ง ฟังเพลงเพลินๆ จึงลดน้อยลงด้วย เพราะคุณจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดเหล่านี้ไปให้กับการดูแลลูกอย่างเต็มที่ แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกสักเท่าใด ก็อย่าลืมเติมความหวานให้กันอยู่เสมอ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ความรักของคุณนั้นจืดจาง และกลายเป็นความเย็นชาที่มีต่อกันงั้นเอง 4. คุณจะเป็นคนที่หูแว่วได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นะจะต้องเป็นกันทุกคนอย่างแน่นอนโดยเฉพาะเวลาที่เข้าห้องน้ำ หรือเวลาพักผ่อน […]

5 วิธี ปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กรักความสะอาด

คู่มือสำหรับคุณแม่

สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนแล้วเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ แน่นอนว่าหลังจากที่มีเจ้าตัวน้อยแล้วคุณพ่อคุณแม่จะต้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาภาระหน้าที่ จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่นั้นมีเวลาส่วนตัวน้อยลง รวมไปถึงเวลาที่จะดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่บ้านไหนมีลูกอ่อน จะมีสิ่งของกระจัดกระจายทั่วบ้าน แต่ถึงจะมีเวลาน้อยอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จะต้องปลูกฝังนิสัยการรักษาความสะอาดให้กับเจ้าตัวน้อยตั้งแต่เด็กๆ เพราะการดูแลรักษาความสะอาดภายในบ้านเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้น่าอยู่และมีบรรยากาศที่ดีมีระเบียบวินัยช่วยให้ลูกน้อยซึมซับลักษณะนิสัยต่างๆเหล่านี้ตลอดจนเติบโต วันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคในการปลูกฝังลักษณะนิสัยรักความสะอาดให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็กช่วยให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย รู้จักดูแลสภาพแวดล้อมและตัวเองให้สะอาดถูกสุขอนามัยอยู่เสมอ จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก สำหรับลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่คือฮีโร่สำหรับเขา และเขาจะมีคุณเป็นแม่แบบ ดังนั้นหากคุณต้องการปลูกฝังนิสัยรักความสะอาดให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเขาจะค่อยๆซึมซับลักษณะนิสัยรักความสะอาดนี้เข้าไปโดยอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยพยายามจัดทุกอย่างให้อยู่เป็นหมวดหมู่ และแยกสิ่งของชนิดต่างๆลงกระบะหรือตะกร้าให้เรียบร้อย ทำสม่ำเสมออยู่เป็นประจำไม่นานเขาจะเริ่มเรียนรู้และเข้าใจและพร้อมที่จะทำตามนั้นเอง 2. สอนวิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องให้กับลูก เมื่อลูกเรียนรู้วิธีการทำความสะอาดที่ถูกต้อง เขาจะสนุกกับการทำงานบ้านมากยิ่งขึ้น มีจุดมุ่งหมายในการทำความสะอาดอย่างชัดเจน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถทำความสะอาดหรือเก็บกวาดร่วมกันจนติดเป็นนิสัย นอกจากบ้านจะสะอาดแล้วยังได้ทำกิจกรรมร่วมกันกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวได้อีกด้วย 3. ปลูกฝังนิสัยเก็บของเก่าก่อนเล่นของใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ปล่อยทิ้งเลอะเทอะ การสอนวิธีนี้ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวลูกมากที่สุด หากทุกครั้งที่เล่นของเล่นเขาจะมีวินัยและเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นนิสัยพื้นฐานที่สามารถปฏิบัติตามได้ง่าย แต่กว่าจะฝึกให้ลูกนั้นเข้าใจในสิ่งที่เราคาดหวังได้นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้ความอดทนสักเล็กน้อย เพราะนิสัยของเด็กแล้วหากอยากเล่นสิ่งใดมักจะชอบรื้อสิ่งของออกมาวางกองรวมกันเพื่อความสนุกสนานนั้นเอง หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกนั้นเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นควรที่จะปฏิบัติเป็นตัวอย่างจะทำให้เขาติดเป็นนิสัยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 4. ติดป้ายระบุที่เก็บให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เขาเก็บของเล่นได้ถูกที่ ตัดปัญหาความสงสัยว่าจะเก็บของเล่นชิ้นนี้ไว้ที่ไหนดีนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถรังสรรค์ป้ายระบุสถานที่เก็บให้มีลักษณะตัวการ์ตูนที่น่ารักดูดความสนใจกันได้เลย หรืออาจจะเป็นป้ายคำศัพท์ระบุทำเป็นเกมจับคู่ก็สามารถเพิ่มความสนุกได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง  5. สิ่งของไหนไม่จําเป็นก็ทิ้งไป หลักการนี้นอกจากจะช่วยให้บ้านนั้นสะอาดเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ลูกรู้จักตัดสินใจ และมีกระบวนการทางความคิด แยกแยะสิ่งของที่จำเป็นออกจากสิ่งของที่ไม่จำเป็นได้ดียิ่งขึ้น โดยพยายามทำให้ทุกอย่างเก็บกวาดได้ง่ายที่สุด จะทำให้ลูกนั้นอยากที่จะทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น […]

5 เทคนิค “เลี้ยงลูกแบบการปลูกต้นไม้” สร้างเด็กให้มีคุณภาพ

คู่มือสำหรับคุณแม่

ในปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่นั้นให้ความสำคัญกับเทคนิคการเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น เพราะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีแนวคิดรวมถึงหลักการในการเลี้ยงลูกที่ดีและสามารถพัฒนาให้ลูกนั้นเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ  เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสไตล์คนญี่ปุ่นเด็กจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างมาก เพราะเขามีหลักการในการอบรมสั่งสอนที่น่าสนใจ เช่น การเลี้ยงลูกแบบปลูกต้นไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิด ที่สร้างเด็กญี่ปุ่นให้เติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ  และ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีวันนี้เราจะนำเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่นมาฝากกัน จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ต้นกล้าจะเจริญเติบโตได้ดีต้องมีฐานดินที่ มั่นคง  ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะคาดหวังให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และสังคม คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องปูรากฐานที่ดีให้กับลูกเสียก่อน ปลูกฝังนิสัยที่ดี ให้เขาค่อยๆซึมซับและเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการเจริญเติบโตตามช่วงวัย เปรียบเสมือนการเตรียมดินที่ดี และเมื่อถึงเวลา ลูกของคุณจะผลิดอกออกผลมาได้อย่างงดงาม  2. ดูแลต้นกล้าอย่าง ใจเย็น ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงลูกเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วการรอคอยอะไรสักอย่างนั้นมักจะต้องใช้เวลา เปรียบเสมือนต้นกล้าที่ใช้เวลาในการเจริญเติบโต คุณพ่อคุณแม่จึงควรปล่อยให้ต้นกล้านั้นค่อยๆเจริญเติบโต คอยหมั่นรดน้ำพรวนดิน เช่น การอบรมบ่มนิสัย ให้เขามีระเบียบวินัย ขยันหมั่นเพียร รู้จักกาลเทศะ เป็นต้น ถือเป็นการหล่อเลี้ยงอีกหนึ่งชีวิตที่จะให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์และแข็งแรง 3. ยอดอ่อนต้องการ การเอาใจใส่ ช่วงระยะในการเจริญเติบโตของต้นอ่อนนั้นค่อนข้างที่จะเปราะบาง ดังนั้นการบ่มเพาะต้นอ่อนให้เจริญเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นคุณจะต้องให้การเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ หากเปรียบเสมือนการเลี้ยงเด็กแล้วล่ะก็ คุณพ่อคุณแม่ควรจะรับฟังความคิดเห็นของลูกให้มาก ใช้เวลาว่างด้วยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกได้เป็นอย่างดี รวมถึงพยายามปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้อบอุ่น น่าอยู่ อยู่เสมอ ซึ่งทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น  4. เมื่อยอดใบชูขึ้นฟ้า ต้องไม่ควบคุม จนเกินไป […]

5 เทคนิคการเลี้ยงลูก ตอบโจทย์ในยุคสมัยปัจจุบัน

คู่มือสำหรับคุณแม่

เมื่อคุณกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นจะต้อง ทำความเข้าใจว่าทุกคนล้วนเกิดมาอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่าง ทำให้ระบบความคิดและการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องนั้นแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเมื่อคุณมีลูกน้อยเป็นของตัวเองแล้ว ก็ต้องอยากเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด อยากดูแลเขาให้เจริญเติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด และประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การอบรมสั่งสอนในรูปแบบเก่าหรือตามฉบับตายายนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ของการเลี้ยงดูในปัจจุบันเท่าที่ควร คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อยับยั้งกระบวนการคิดและลดปัญหาการเป็นคุณพ่อคุณแม่หัวโบราณ โดยเลี้ยงลูกตามคุณหมอเพื่อให้เขาเจริญเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพ และมีสุขภาพกายและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมเผชิญกับสังคมในทุกรูปแบบ วันนี้เราจึงมีเทคนิคในการเลี้ยงลูก และส่งเสริมให้ลูกนั้นเจริญเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยความคิดแนวใหม่ และยับยั้งการเป็นคุณพ่อคุณแม่หัวโบราณ จะมีเทคนิคใดบ้างและจะติดตามไปเลย  1. คุณพ่อคุณแม่ควรรับฟังปัญหาของลูกให้จบ เมื่อเกิดปัญหาใดก็ตามสิ่งแรกที่คุณพ่อควรปฏิบัติต่อลูกน้อย คือการรับฟังปัญหาของลูกให้จบก่อนที่จะตัดสินลูก เพราะแน่นอนว่าเมื่อเกิดปัญหาแล้ว ลูกนั้นไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีเพียงคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นที่พร้อมจะรับฟังเขา และเป็นที่ปรึกษาให้เขา ซึ่งการรับฟังรูปนั้นนอกจากจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจให้กับลูกแล้วยังช่วยให้ลูกเป็นคนกล้าที่จะเล่าปัญหาต่างๆให้เรารับฟังอีก จะทำให้เราได้รู้ถึง กระบวนการความคิดของลูกและสั่งสอนลูกได้ถูกทางนั้นเอง 2. ทำความเข้าใจในตัวตนของลูกผ่านมุมมองของลูก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เราควรทำความเข้าใจในตัวเขาผ่านทางมุมมองของความเป็นเด็ก ไม่ใช่มองในมุมมองของผู้ใหญ่ที่อยากจะให้เขาเป็นในแบบที่เราต้องการ การปฏิบัติวิธีนี้จะทำให้เรารู้และเข้าใจในความเป็นตัวตนของเขาได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการมองในมุมมองของลูกนั้นจะช่วยให้เรารับมือและจัดการกับปัญหาต่างๆได้ง่ายและตรงจุดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 3. เคารพสิทธิ์ของลูก คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องไม่ยึดแนวคิดว่า ลูกคือสมบัติของเรา เพราะเด็กทุกคนที่เกิดมาล้วนแล้วต้องการใช้ชีวิตในรูปแบบของตน ต้องการความเป็นอิสระ ต้องการเป็นตัวของตัวเอง หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ดีคือการเลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยไม่จำกัดกรอบ โดยไม่บังคับลูกให้เติบโตมาในรูปแบบที่เราต้องการ คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่คอยปกป้องและ ประคองค้ำจุนให้ลูกนั้นเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เขาออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง 4. ย้อนเวลานึกถึงเราตอนยังเป็นเด็ก แน่นอนว่าทุกคนมีช่วงเวลาในวัยเด็กด้วยกันทั้งนั้น ตอนเด็กเราอยากให้พ่อแม่ใส่ใจเราขนาดไหน หรืออยากได้ความรักในรูปแบบไหน […]

5 ช่วงวัยของเด็ก จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมทางดนตรีที่แตกต่างกัน

คู่มือสำหรับคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยเป็นอย่างมาก ดนตรีเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน ซื้อตัวนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยชูใจที่ทำให้เราเพลิดเพลินแล้วแต่ยังมีประโยชน์ ต่อพัฒนาการทางด้านต่างๆของเด็กเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเด็กในวัยทารกจะช่วยส่งเสริมทักษะทางด้านดนตรีให้ลูก ได้เป็นอย่างดีซึ่งเด็กที่มีดนตรีในหัวใจจะช่วยให้เขามีปัญหากันทั้งด้านต่างๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแตกต่างจากเด็กทั่วไป ซึ่งประโยชน์ของดนตรีกับพัฒนาการของลูกนะจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการได้แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดนตรีจะมีประโยชน์กับช่วงวัยไหนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เด็กในวัย 4-8 เดือน ชื่นชอบเป็นอย่างมากกับ เสียงดนตรีกุ๊งกิ๊ง โดยของเล่นแนะนำได้แก่กองใบเล็ก กระดิ่ง ลูกแซก เป็นเครื่องเล่นที่มีเสียง เมื่อเขย่า จะช่วยเสริมสร้างเชาว์ปัญญา เด็กในวัยนี้กิจกรรม ทางด้านดนตรี จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้โดยการจัดของเล่นและเครื่องดนตรีที่มีเสียงกุ๊งกิ๊ง หรือเครื่องดนตรีที่เป็นประเภทตีกระทบ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะวางเครื่องดนตรีเหล่านี้ไว้ใกล้ๆตัวของลูก การเขย่าหรือการขอเครื่องดนตรีนี้จะช่วยดึงดูดความสนใจ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ถามว่าพูดคำศัพท์ 2-3 คำประกอบกับการเขย่าอยู่เครื่องดนตรีเหล่านั้นจะช่วยให้ลูกนั้นเรียนรู้ผ่านเสียงดนตรีได้เป็นอย่างดี 2. เด็กในวัย 8 ถึง 12 เดือน  เครื่องดนตรีที่เหมาะสมสำหรับลูกคือ ไซโลโฟน คีย์บอร์ด หรือเครื่องดนตรีที่ กด เป่า ตี แล้วมีเสียง ถือเป็นกิจกรรมทางดนตรีที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยนี้ ของเล่นประเภทนี้จะช่วยให้ลูกนั้นเรียนรู้เสียงของดนตรีได้ด้วยตัวเอง จะทำให้เขาตื่นตาตื่นใจและสนุกสนานกับเสียงดนตรีนี้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับลูกโดยทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้เด็กเรียนแบบทั้งในด้านของเสียง ดัง เบา และความเร็ว ช้าของจังหวะดนตรี จะทำให้ลูกนั้นเกิดความรู้สึกท้าทายมากยิ่งขึ้น 3. เด็กในวัย 1-2 ขวบ  การเล่นดนตรีตามจังหวะเพลงด้วยการเขย่า […]

5 ประโยชน์ ของการเล่นบทบาทสมมติ ช่วยเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คู่มือสำหรับคุณแม่

การเป็นเด็กกล้าแสดงออกนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างลักษณะนิสัยของลูกให้เป็นเด็กที่กล้าแสดงออกได้ด้วยการเล่นบทบาทสมมติ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีประโยชน์และพัฒนาทักษะที่หลากหลายให้กับลูกได้เป็นอย่างดี หากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่กำลังประสบปัญหากับลูกน้อยพูดอยู่เพียงลำพังหรือเล่นกับตุ๊กตา หรือไม่มีทักษะการเข้าสังคมที่ดี รวมไปถึง ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในวัยกำลังเรียนรู้ ซึ่งการเล่นบทบาทสมมุตินั้นจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งในการกล้าแสดงออกหรือสามารถช่วยพัฒนาทักษะทางด้านภาษา อารมณ์ ความจำ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์และการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย วันนี้เราจึงรวบรวมประโยชน์ของการเล่นบทบาทสมมติมาให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ทราบ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะสามารถช่วยพัฒนาทักษะใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. พัฒนาทักษะทางด้านภาษา การเล่นบทบาทสมมุติจะช่วยให้ลูกน้อยรู้จักใช้คำที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นรู้จักการพูดจาในหลากหลายรูปแบบ ยิ่งเขาได้เล่นเป็นตัวละครที่มีหลายบทบาทมากเท่าไหร่จะยิ่งช่วยพัฒนาการทางระดับภาษามากขึ้นเท่านั้น เช่นการชวนลูกเล่นเป็นชาวต่างชาติหรือลองเรียนแบบภาษาต่างๆหรือพยายามออกสำเนียงให้คล้ายกับเจ้าของภาษาให้ได้มากที่สุดจะทำให้ลูกพัฒนาทักษะในด้านภาษาได้เป็นอย่างดี 2. พัฒนาทางด้านความจำ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยให้เขาจดจำและพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลของลูกให้ดียิ่งขึ้น เพราะทุกครั้งที่มีการแสดงจำเป็นจะต้องมีการวางแผน โดยกระบวนการทั้งหมดจะถูกกลั่นกรองออกมาจากสมองของเด็กทำให้เขามีความคิดที่เป็นระบบอยู่ตลอดเวลา ว่าเขาจะแสดงออกมาในลักษณะไหน เช่นการจำบทบาท จำสิ่งของที่ต้องใช้ในตัวละครนั้นๆ เป็นต้น ดังนั้นการเล่นบทบาทสมมุติจึงช่วยพัฒนาการทางด้านความจำได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 3. พัฒนาทักษะทางด้านอารมณ์ การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยให้ลูกน้อยนั้นเข้าใจถึงอารมณ์ในรูปแบบต่างๆ นักแสดงออกมาทางสีหน้าหรือท่าทาง เช่นอารมณ์ไหนที่ลูกกำลังเสียใจ กำลังโกรธ หรือกำลังมีความสุข การเล่นเช่นนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจกิริยาของลูกได้ง่ายยิ่งขึ้น และเข้าถึงอารมณ์ของลูกได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง รวมถึงลูกจะสามารถการแสดงอารมณ์ให้รับรู้ตามความต้องการของเขาได้มากยิ่งขึ้น ไม่กลายเป็นเด็กเก็บกด นี่ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตัวเด็ก 4. พัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคสมัยนี้ต้องการเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก การเล่นบทบาทสมมุตินี้จะช่วยต่อยอดจินตนาการของเขาให้ออกมาเป็นภาพหรือเป็นเสียงรวมไปถึงการส่งผ่านทางด้านร่างกายและสติปัญญาให้ออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะที่เขาต้องการได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เขามีความคิดที่อยากจะรังสรรค์ตัวละครออกมาให้สนุก และแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์นี้จะเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกหรือตามจินตนาการของเขานั่นเอง 5. พัฒนาทางด้านสังคม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก การที่ลูกกล้าแสดงออกและรู้จักการวางตัวให้เป็นอยู่ในแต่ละบทบาทจะช่วยให้เขามีความกล้าที่จะพูดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น รู้จักการเข้าหาและปรับตัวให้เป็นธรรมชาติกับผู้อื่น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นมาจะทำให้เขามีสังคมที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น […]

5 เคล็ดลับ เพิ่มความสูงให้กับลูกน้อยอย่างได้ผล

คู่มือสำหรับคุณแม่

เมื่อพูดถึงความสูงแล้วก็เชื่อว่าแม่ทุกคนต้องอยากให้ลูกนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่แข็งแรงฉลาดและมีบุคลิกภาพที่ดี  และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กนั้นมีบุคลิกภาพที่ดีเป็นอันดับต้นๆเลยนั่นก็คือในเรื่องของความสูง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสูงนั้นมีอีกคนต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่าง ความสูงนั้นเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน เช่นในเรื่องของอาชีพการงาน ที่ใช้ความสูงเป็นเกณฑ์ในการรับเข้าทำงาน  เช่น แอร์โฮสเตส ตำรวจ ทหาร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าอาชีพเหล่านี้อาจเป็นอาชีพในฝันของเด็กๆหลายๆคน วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเพิ่มความสูงให้กับลูกน้อยมาฝากกัน ซึ่งวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นรับรองว่าใช้แล้วได้ผล นอกจากจะเพิ่มความสูงให้กับลูกได้แล้วยังช่วยให้ลูกนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้อีกด้วย จะมีวิธีใดบ้าง ไปติดทางไปเลย 1. ชวนลูกออกกำลังกาย วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ลูกฝึกมีการเข้าสังคมที่ดีแล้ว ยังส่งผลดีกับสุขภาพของลูกได้อีกด้วย การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ลูกนั้นสูงได้  การออกกำลังกายนี้นอกจากจะช่วยให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรงแล้วยังช่วยเพิ่มกิจกรรมในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกๆออกกำลังกายง่ายๆได้เช่นการชวนลูกเต้นแอโรบิค ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยนี้ พอได้เคลื่อนไหวร่างกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอและไม่หนักจนเกินไป ที่สำคัญการออกกำลังกายควรทำติดต่อกันอย่างน้อยวันละ 30 นาทีเป็นประจำจะช่วยให้ลูกนั้นสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น หรือหาครอบครัวไหนอยากให้ลูกสูงไวๆลองให้ลูกกระโดดเชือก กระโดดแทมโพลีน หรือแม้กระทั่งกระโดดแตะก็เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ช่วยเพิ่มความสูงได้ 2. ชวนลูกเข้านอนก่อน 3 ทุ่ม ถือเป็นช่วงเวลาการนอนที่ดีและเพียงพอสำหรับลูกวัยกำลังโตเพราะช่วงนั้นร่างกายกำลังจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Growth hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและเรื่องของพัฒนาการให้สมบูรณ์สมวัย ที่สำคัญฮอร์โมนนี้ยังช่วยกระตุ้นให้กระดูกของลูกเจริญเติบโตมากขึ้นในแนวยาวได้อีกด้วย จึงทำให้ลูกมีความสูงที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง  3. ทานโปรตีน เช่นเนื้อ นม และไข่ นอกจากจะให้ลูกทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่แล้วหากอยากให้ลูกน้อยมีความสูงที่เพิ่มมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเน้นที่อาหารที่ทำมาจากโปรตีนเนื้อสัตว์เช่น นม ไข่ เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ต่างจากโปรตีนจากพืช อาหารเหล่านี้จึงถือเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูงสุดนั่นเอง ซึ่งโปรตีนจากพืชส่วนมากมักขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นบางชนิด […]