บทความนี้ขอแนะนำ บทความเรื่อง “ไอกรน” ภัยเงียบอันตราย ที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวัง โรคไอกรน แม้จะเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายหวัดธรรมดา แต่กลับซ่อนอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคนี้ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเฝ้าระวังสัญญาณเตือนของ ไอกรนในเด็ก อย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัย
โรคไอกรน
ไอกรนเป็นโรคติดเชื้อ สาเหตุเกิดจาก “เชื้อไอกรน” เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า “บอร์เดเทลลา
เพอร์ทัสซิส” (Bordetella pertussis) ซึ่งจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย เมื่อเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจจะไปเกาะอยู่กับเซลล์เยื่อบุหลังโพรงจมูก และผลิตสารพิษหลายชนิดออกมา ซึ่งจะส่งผลต่อการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เชื้อแบคทีเรียดังกล่าว มีผลรุนแรงในทารกแรกเกิด ซึ่งอาจรุนแรงถึงชีวิตได้
โรคไอกรนติดต่อได้อย่างไร
โรคไอกรนติดต่อได้ง่ายมาก ผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค จะติดเชื้อจากผู้ป่วยที่อยู่ในบ้านเดียวกันได้สูงถึง 80-100% แต่หากเคยได้รับวัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และมีภูมิคุ้มกันแล้ว โอกาสติดเชื้ออยู่ที่ประมาณ 20% ส่วนใหญ่ในเด็กจะติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัว โดยติดต่อผ่านทางเดินหายใจ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ที่มีเชื้อ หากได้รับเชื้อจะสังเกตอาการได้ในระยะเวลาประมาณ 5-10 วัน แต่หากรับเชื้อเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค
วิธีสังเกตอาการหากสงสัยว่าติดเชื้อไอกรน
อาการของไอกรน แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
– ระยะที่ 1 เยื่อเมือกทางเดินหายใจอักเสบ (Catarrhal phase) เรียกว่า ระยะหวัด มีอาการเหมือนหวัดธรรมดาทั่วไป ไข้ต่ำน้ำมูกไหล จาม ไอเล็กน้อย อ่อนเพลีย ตาแดง น้ำตาไหล
– ระยะที่ 2 ระยะอาการกำเริบ (Paroxysmal phase) เรียกว่า ระยะรุนแรง ซึ่งระยะนี้จะกินเวลานาน 7-10 วัน ในระยะนี้ส่วนใหญ่จะยังวินิจฉัยโรคไอกรนไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยจะมีอาการตามข้อ 1 เพิ่มขึ้น อาจมีอาการไอรุนแรงและหลังการไอสิ้นสุดลงจะมีเสียงเฉพาะ (เสียงวู้ป) เกิดขึ้น หากไอติดต่อนาน ๆ จนตัวงอและหายใจไม่ทัน (ในครั้งหนึ่งจะไอติดต่อกันประมาณ 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น แล้วหยุดไป แล้วเริ่มไอใหม่เป็นแบบนี้ซ้ำๆ) โดยอาการไอนี้อาจเกิดขึ้นเพียง 5-10 รอบต่อวัน หรือเกิดขึ้นหลายสิบรอบในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอาการไอมากในช่วง 2 สัปดาห์แรก และอาการไอมักเกิดถี่ขึ้นในตอนกลางคืนหรือเวลาที่ถูกอากาศเย็น ดื่มน้ำเย็นจัด ถูกฝุ่นหรือควันบุหรี่
– ระยะที่ 3 ระยะพักฟื้น (Convalescent phase) หรือ ระยะฟื้นตัว ระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักตัวขึ้น อาการไอและความรุนแรงจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนหายสนิท
– รวมระยะของโรคทั้งหมดถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์
วิธีรับมือกับโรคไอกรน
1.การรักษา หากสงสัยว่ามีอาการของโรคไอกรน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ในระยะแรกของโรคสามารถช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการแพร่เชื้อได้
2.การป้องกัน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง วัคซีนนี้มักรวมอยู่ในวัคซีนรวมป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) โดยมีกำหนดการฉีดในเด็กที่อายุ 2, 4, 6, และ 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี นอกจากนี้ ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ทุก 10 ปี เพื่อรักษาระดับภูมิคุ้มกัน
3.การดูแลที่บ้าน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ไอ เช่น ควันบุหรี่ อากาศเย็นจัดหรือร้อนจัด และรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการอาเจียนหลังการไอ
โรคไอกรนสามารถป้องกันได้ ด้วยวัคซีน
ปัจจุบันวัคซีนไอกรนถูกจัดให้เป็นวัคซีนพื้นฐานที่ต้องเข้ารับ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของโรคในอนาคต โดยวัคซีนโรคไอกรนควรเข้ารับให้ครบตามช่วงอายุ ดังนี้
– ครั้งที่ 1 เมื่อมีอายุ 2 เดือน
– ครั้งที่ 2 เมื่อมีอายุ 4 เดือน
– ครั้งที่ 3 เมื่อมีอายุ 6 เดือน
– ครั้งที่ 4 เมื่อมีอายุ 18 เดือน
– ครั้งที่ 5 ฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 4 ปี
ข้อต้องรู้เกี่ยวกับ “ไอกรน”
1.ไอกรนเป็นโรคทางเดินหายใจ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
2.ไอกรนเป็นโรคที่มีวัคซีนป้องกันได้ และมียาฆ่าเชื้อในการรักษา
3.ไอกรนระบาดเนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงหลังฉีดไป 5-10 ปี จึงมีการระบาดมาเป็นช่วงๆ ทั่วโลก
4.ไอกรนต่างจากหวัดธรรมดาคือ ไม่ค่อยมีไข้มีน้ำมูก สัปดาห์ต่อมาจะเข้าสู่ช่วงไอมาก ไอรุนแรง ไอเป็นชุด ๆ และไอนานเป็นสัปดาห์
5.ในเด็กเล็ก ๆ โรครุนแรง บางคนไอจนหยุดหายใจ ไอจนเขียวและขาดออกซิเจน หรือเป็นปอดบวม
6.ในวัยรุ่น/ผู้ใหญ่ไอรุนแรงและเรื้อรัง สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นในโรงเรียน ที่ทำงาน ที่บ้าน
7.เมื่อมีการระบาด ควรทบทวนว่าได้รับวัคซีนครบหรือไม่
– เด็กต่ำกว่า 10 ขวบ ควรได้วัคซีนรวมครบ 5 เข็ม
– วัยรุ่น ควรได้รับวัคซีนทีแด๊ป 1 เข็ม
– ผู้ใหญ่ ควรฉีดวัคซีนทีแด๊ปหรือวัคซีนไอกรน 5-10 ปี
8.วัคซีนทีแด๊ปและวัคซีนไอกรนมีความปลอดภัย ฉีดได้
9.วัคซีนคอตีบบาดทะยักที่โรงเรียนฉีดฟรีให้ ไม่มีวัคซีนไอกรน
10.หากใกล้ชิดกับผู้ป่วยไอกรน หรือมีอาการที่สงสัยไอกรน ควรพบแพทย์ เพื่อรับยาฆ่าเชื้อและฉีดวัคซีน
บทส่งท้าย
การสังเกตอาการและรับมือกับโรคไอกรนอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการที่น่ากังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
เครดิตรูปภาพ allergyasthmanetwork.org www.vinmec.com www.drdropin.no