บทความนี้ขอแนะนำ บทความเรื่อง ลูกหัวโน ล้มหัวกระแทกพื้นบ่อยๆ อันตรายไหม คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไรดี ลูกล้มหัวฟาดพื้น เด็กเกิดอุบัติเหตุศีรษะกระแทก อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเวลาที่เด็ก ๆ อยู่ในสายตาผู้ใหญ่และเวลาที่ไม่มีใครเห็น ทำให้เป็นการยากที่ผู้ปกครองจะบอกความรุนแรงของการบาดเจ็บได้ โดยส่วนใหญ่การบาดเจ็บมักไม่รุนแรง อาจพบแค่ รอยเขียวช้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ปัญหาเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความกังวลใจอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาเหล่านี้อันตรายมากแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่ควรรับมืออย่างไรบทความนี้มีคำตอบ
ลูกล้มหงายหลังหัวฟาดพื้น อันตรายไหม
ขึ้นอยู่กับว่าพื้นนั้นแข็งมากแค่ไหน ลูกหงายหลังตกจากพื้นที่สูงมากแค่ไหน หากตกจากพื้นเตี้ย ๆ และพื้นไม่แข็ง ก็อาจจะไม่อันตรายมาก ทำการปฐมพยาบาลและสังเกตอาการ
24 ชั่วโมง แต่ถ้าลูกตกจากที่สูง และศีรษะฟาดเข้ากับพื้นแข็ง กรณีนี้หลังจากทำความสะอาดแผลและปฐมพยาบาลเสร็จแล้ว ให้รีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันทีโดยไม่ต้องรอดูอาการ
ลูกล้มหัวฟาดพื้น อุบัติเหตุที่อาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่คิด
อาการหกล้ม หัวฟาด หัวโน แม้จะดูเป็นอุบัติเหตุโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นได้สำหรับเด็ก แต่บางครั้งการหกล้ม หรือหัวฟาดเพียงครั้งเดียวอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางสมองได้ เพราะเป็นการกระทบกระเทือนที่ศีรษะโดยตรง ซึ่งกะโหลกศีรษะของเด็กนั้นยังไม่ได้แข็งแรงเท่ากับผู้ใหญ่ อาการพลัดตก หกล้ม และศีรษะได้รับการกระแทกรุนแรง อาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง หรือก่อให้เกิดอาการข้างเคียงเกี่ยวกับสมองได้
อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ “Concussion Syndrome” เมื่อศีรษะกระแทก คืออะไร
Concussion Syndrome คือกลุ่มอาการของสมองที่ถูกกระทบกระเทือน ซึ่งทำให้เกิดการทำงานผิดปกติ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะเป็นแค่ชั่วคราว และส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน
6 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการ ยาวนานกว่านั้นจะต้องกลับมาพบแพทย์ ลูกล้มหัวฟาดพื้น ควรสังเกตอาการ Concussion Syndrome เพราะสมองอาจได้รับการกระทบกระเทือน
กลุ่มอาการนี้ประกอบด้วย
– อารมณ์เปลี่ยนแปลง สับสน หงุดหงิดง่าย งอแง หรือเรียกร้องมากผิดปกติ
– ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถทนต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ เช่น ที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือเสียงดัง
– นอนหลับไม่สนิท มีผวาตื่น หรือฝันร้าย
– มีปัญหาเกี่ยวกับความจํา การเรียน คิดช้าทำช้าและไม่มีสมาธิ
– ปวดศีรษะไม่รุนแรง นอนพักหรือกินยาพาราเซตามอลก็หายได้เอง
– การมองเห็นไม่เป็นปกติ พูดไม่ชัดหรือติดขัดในการคิดคําพูด
– อาเจียนเล็กน้อย เช่น 1-2 ครั้งต่อวัน มักเป็นเวลาเหนื่อย หรือปวดศีรษะ
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเมื่อ ลูกล้มหัวกระแทกพื้น
1. อาการภายนอกที่สังเกตได้
– ร้องไห้งอแง ลูกอาจจะร้องไห้เพราะเจ็บบริเวณที่โดนกระแทก ประมาณ 10 นาที ก็จะกลับมาวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม หรือเด็กบางคนอาจใช้เวลามากขึ้น เพราะความเจ็บและตกใจ ในขณะที่เด็กบางคนอาจจะขอนั่งพักเฉยๆ ประมาณ 15 – 30 นาที แต่หลังจากนั้นก็จะดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ
– หัวโนหรือห้อเลือด โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก จะมีเลือดไปเลี้ยงบริเวณนี้มาก หากได้รับบาดเจ็บมักจะทำให้เลือกออกใต้ผิวหนัง จนทำให้เกิดรอยช้ำหรือห้อเลือดที่สังเกตเห็นได้ง่าย
(วิธีปฐมพยาบาลคือ ประคบเย็น ด้วยผ้าขนหนูสะอาดห่อน้ำแข็ง วางไว้บริเวณที่บวมประมาณ 20 นาที และทำซ้ำได้เรื่อย ๆ หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น และควรสังเกตอาการต่ออีกสองชั่วโมง หากไม่มีการบวมเพิ่มขึ้น ถือว่าไม่มีอะไรผิดปกติ)
– มีแผลเลือดออกเล็กน้อย สำหรับแผลถลอกให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่า แต่หากมีเลือดออก ให้ใช้ผ้าพันแผลหรือผ้าสะอาด กดที่บาดแผลเอาไว้จนกว่าเลือดจะหยุด
– หัวแตก หากเกิดจากอุบัติเหตุไม่รุนแรง ส่วนใหญ่แผลหัวแตกจะไม่มีผลต่อสมอง และสามารถรักษาได้ด้วยการทำแผลหรือเย็บแผลให้เรียบร้อย แต่ก็มีประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่หัวแตกและมีอาการกระโหลกร้าวร่วมด้วย
2. ติดตามสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด
– เฝ้าดูอาการสองชั่วโมงแรก หลังจากลูกหัวกระแทกพื้น หรือหกล้มหงายหลัง สิ่งแรกที่ควรทำคือสำรวจบาดแผลภายนอก ให้ลูกนั่งพัก และเฝ้าติดตามอาการตลอดสองชั่วโมงแรก ลูกอาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่ถูกกระแทกอยู่บ้าง แต่หากไม่มีอาการผิดปกติรุนแรง สามารถให้ลูกเริ่มทำกิจกรรมเบาๆ หรืองีบหลับได้
– ติดตามอาการภายใน24ชั่วโมง ให้คุณพ่อคุณแม่เฝ้าดูอาการของลูกอย่างระมัดระวังต่อไปอีก
24 ชั่วโมง เช่น หลังจากลูกนอนหลับได้สองชั่วโมง ให้ลองปลุกลูกและสังเกตว่าลูกสามารถตอบสนอง พูดคุย และลุกขึ้นเดินได้ตามปกติ
– สังเกตต่ออีก 48 ชั่วโมงเพื่อความแน่ใจ หากลูกยังมีตื่นตัวและตอบสนองได้ดี เป็นสัญญาณว่าคุณพ่อคุณแม่เริ่มเบาใจได้แต่ก็ยังควรเฝ้าดูอาการและสังเกตความผิดปกติต่อไปอีก
36-48 ชั่วโมง เพราะอาจมีอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เกิดขึ้นช้ากว่าปกติได้
3.หากมีอาการุนแรงควนพาไปพบแพทย์ทันที
– อาเจียน หลังเกิดเหตุ ลูกมีการอาเจียนมากกว่า 2-3 ครั้ง
– สลบ หรือหมดสติ นานกว่า 5 วินาที หรือมีอาการนอนนิ่ง ไม่ร้อง และไม่ลุกขึ้นหลังเกิดการกระแทก
– ตัวซีดผิดปกติ นานกว่า 1 ชั่วโมง
– หัวโนบวมมาก สังเกตบริเวณที่โดนกระแทก หากเกิดการบวมใหญ่กว่า 1 นิ้วหรือ 2.5 เซนติเมตร หรือบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ
– เลือดออกไม่หยุด หากมีแผลเปิดเป็นวงกว้าง เลือดออกเยอะ และไหลไม่หยุดนานเกิน 10 นาที ให้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อเย็บแผล และสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
– พฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เลือดกำเดาไหล จำอะไรไม่ได้ชั่วคราว กระสับกระส่าย สับสน พูดไม่เป็นคำ เดินหรือนั่งไม่มั่นคง แขนขาอ่อนแรง หลับแล้วตื่นยาก เซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด
มีอาการชัก อาจมีอาการปวดหัวรุนแรงมากขึ้น
บทส่งท้าย
ในช่วงที่ลูกหัดเดินอาจจะมีล้มบ้าง ทำให้หัวโน หัวปูดได้ บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ตลอดเวลา ทั้งนี้การป้องกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ไม่ควรปล่อยลูกน้อยไว้ให้อยู่ลำพัง หรือไกลสายตา เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุกับลูกน้อยของเราได้โดยไม่ทันตั้งตัว
เครดิตรูปภาพ
https://www.healthline.com https://www.shutterstock.com https://www.verywellfamily.com