สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หมั่นตรวจสอบและสังเกตอาการของตนเองอยู่เสมอ เพราะตลอดช่วงอายุครรภ์ระหว่างตั้งครรภ์นั้น ร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้แม่หลายคนเป็นกังวลได้ว่า อาการแบบไหนเรียกว่าอาการปกติ หรืออาการแบบไหนควรเฝ้าระวังและต้องพบแพทย์ทันที วันนี้เราจึงรวบรวมสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ได้ จะมีอาการใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
1. มีเลือดออกที่ช่องคลอด
อาการนี้ถือเป็นอาการที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเช่นการติดเชื้อภายในช่องคลอดการติดเชื้อในปากมดลูกหรือคุณแม่อาจมีภาวะรกเกาะต่ำก็เป็นได้ซึ่งอาการเลือดออกทางช่องคลอดนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายมากที่ควรไปพบแพทย์ในทันทีเพื่อเฝ้าระวังอาการต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
2. อาการลูกดิ้น
มากเกินหรือน้อยไปอย่างผิดสังเกต การนับลูกดิ้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะจะช่วยติดตามอาการของลูกน้อยภายในครรภ์ได้โดยทั่วไปแล้วเด็กทารกจะเริ่มดิ้นเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจะดิ้นประมาณ 200 ครั้งใน 12 ชั่วโมง และจะดิ้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามอายุครรภ์ แต่เมื่อใกล้คลอดทารกจะดิ้นน้อยลงซึ่งไม่ควรน้อยกว่า 10 ครั้ง แต่ถ้าหากลูกหยุดนิ่มเกิน 12 ชั่วโมงขึ้นไปให้รีบพบแพทย์ทันที
3. อาการแพ้ท้อง
ซึ่งถือเป็นอาการปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ทั่วไปเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอาการที่สังเกตได้คือ คลื่นไส้ อาเจียน พะอืดพะอม เบื่ออาหาร อาการแพ้ท้องนี้เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นเกิน 14 สัปดาห์ฮอร์โมนจะอยู่ในระดับปกติอาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเองตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากคุณแม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากจนทานอาหารไม่ได้น้ำหนักลดซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ คุณแม่อาจมีภาวะขาดสารอาหารขาดน้ำเช่นใจสั่นปัสสาวะน้อยอาการเหล่านี้ต้องรีบพบแพทย์ทันที
4. ตกขาวมากผิดปกติ
อาการตกขาวในหญิงตั้งครรภ์นั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณแม่สังเกตเห็นว่า ตกขาวนั้นเริ่มมีกลิ่น มีสีที่เปลี่ยนไป ซึ่งนั่นอาจบ่งบอกได้ว่าอาจมีการติดเชื้อที่บริเวณช่องคลอดได้ ไม่ควรนิ่งนอนใจควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
5. ตัวบวม
ถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดหากคุณแม่มีอาการตัวบวมเท้าบวม ร่วมกับแขนขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของครรภ์เป็นพิษหรือความดันโลหิตสูงเกินไปก็ได้ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์นั่นเอง
6. ปวดท้องอย่างรุนแรง
อาการปวดท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์จะพบอยู่เป็นประจำอยู่แล้วเนื่องจากระบบย่อยอาหารอย่างทำงานได้ไม่สมบูรณ์อาจทำให้มีอาการท้องอืดและท้องผูกได้แต่ถ้าหากคุณแม่ปวดท้องรุนแรงมากจนผิดสังเกตอาจเป็นอีกหนึ่งอาการที่บ่งบอกว่าทางเดินปัสสาวะอักเสบหรือเกิดภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกที่อาจนำไปสู่การแท้งบุตรได้ เมื่อคุณแม่ปวดท้องอย่างแรงจึงควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
7. มีอาการวิงเวียนศีรษะหน้ามืด
เห็นแสงวูบวาบ ร่วมกับมีอาการจุกที่บริเวณลิ้นปี่นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของครรภ์เป็นพิษซึ่งจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อาการนี้จึงควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
8. คันตามตัวโดยเฉพาะมือและเท้า
หากคุณแม่ตั้งครรภ์พบว่ามีอาการคันอย่างรุนแรงโดยเฉพาะที่มือและเท้าในช่วงไตรมาสสุดท้าย อาจเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายว่ามีอาการแทรกซ้อนเกี่ยวข้องกับตับ ซึ่งอาจนำพาให้คลอดก่อนกำหนดก็เป็นได้ อาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาได้ทันท่วงที
9. เจ็บท้องก่อนกำหนด
อาการเจ็บเตือนนั้นมักเกิดในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีการเจ็บท้องอย่างสม่ำเสมอแต่ถ้าหากคุณแม่มีอาการเจ็บท้องอย่างรุนแรงและปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆนั่นหมายถึงว่าปากมดลูกกำลังเปิดอาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนของร่างกายว่ากำลังจะคลอดลูก ถ้าหากรู้สึกเช่นนี้ถึงแม้จะยังไม่ครบกำหนดคลอดก็ให้รีบพบแพทย์ทันที
10. มีน้ำเดิน
สภาวะนี้เป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะคลอดลูกในเร็วๆนี้ เนื่องจากถุงน้ำคร่ำที่มีหน้าที่โอบอุ้มลูกน้อยไว้มีการแตก มีน้ำใสๆรั่วออกมา โดยน้ำคร่ำที่ไหลออกมาคล้ายน้ำปัสสาวะ เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ต้องรีบพบแพทย์ทันที
อาการเหล่านี้ถือเป็นเพียงบางส่วนของสัญญาณเตือนของร่างกายว่ากำลังมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเหล่านั้นในทันที เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์และลดความวิตกกังวลของคุณแม่ลงด้วย
Credit สล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ