5 วิธีชวนลูกคุย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

บทความนี้เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่คุยไม่เก่งเป็นอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่าปัญหาของการคุยไม่เก่งของคุณพ่อคุณแม่บางท่านนั้นอาจส่งผลหรือกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหาเรื่องคุยกับลูกและกระทบต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกนั้นห่างเหินกันโดยไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมีทริคในการชวนลูกคุยเล็กๆน้อยๆมาฝากกัน ซึ่งรับรองได้ว่า จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยไม่เก่ง จะทำให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงได้และสานสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย เทคนิคในการชวนลูกคุยจะมีคำถามในลักษณะไหนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. วันนี้หนูเล่นเกมอะไรกับเพื่อนบ้างเอ่ย? เป็นประโยคเริ่มต้นสนทนาด้วยการถามคำถามปลายเปิด เพื่อให้เขา ตอบสนองต่อคุณพ่อคุณแม่ได้มากยิ่งขึ้น การชวนลูกคุยในลักษณะนี้ จะเป็นการชวนคุยเพื่อผ่อนคลาย ไม่ต้องให้เขาใช้กระบวนการความคิดอะไรมากมาย แต่เน้นให้ลูกตอบตามความรู้สึก ดังนั้นเด็กในช่วงวัยกำลังเรียนรู้เพื่อนจึงมีส่วนที่สำคัญอย่างมากเพราะเขาได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ตลอดเวลา หรือหากอยากกระชับความสัมพันธ์และอยากจะรู้จักมุมมองใหม่ๆ ของลูกมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามชื่อเพื่อนของลูก ลักษณะนิสัยของเพื่อน และสังเกตอารมณ์ความรู้สึก แววตา รวมไปถึงท่าทางการตอบสนอง คำถามเพียงเหล่านี้ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็คสภาพจิตใจของเด็กๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 2. ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียน หากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่พูดคุยไม่เก่งการถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนนั้นจะช่วยแสดงได้ว่าคุณพ่อคุณแม่นั้นสนใจเขามากน้อยแค่ไหนถามถึงเรื่องการเรียนคุณครูที่สอนวิชาต่างๆ หรือรวมไปถึงลูกนั้นชื่นชอบเรียนวิชาอะไร มีความสุขไหมเมื่ออยู่ที่โรงเรียน เพื่อนที่เล่นด้วยกันสนุกไหม คุณครูใจดีหรือเปล่า คำถามนี้นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะได้คุยกับลูกมากยิ่งขึ้นแล้วยังสามารถตรวจสอบได้ว่าการเรียนในรูปแบบนี้รูปนั้นมีความสุขไหม มีประโยชน์ที่เราจะสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ของลูกได้อย่างถูกต้องโดยไม่เกิดการบังคับจิตใจกันนั่นเอง 3. หนูอยากให้พ่อกับแม่ทำอะไรให้ทานในวันพรุ่งนี้ดีจ๊ะ เป็นอีกหนึ่งคำถามที่จะให้ลูกช่วยแสดงความรู้สึกหรือความชื่นชอบนั้นออกมาได้มากยิ่งขึ้น  แต่ถ้าหากลูกไม่มีไอเดียในการทานอาหารในวันพรุ่งนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเสนอเมนูขึ้นมาให้ลูกดู เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับเขา นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถให้ลูกเป็นคนเลือกวัตถุดิบต่างๆมาช่วยกันประกอบอาหารได้อีกด้วย ซึ่งการทำอาหารด้วยการนั้นจะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 4. ให้ลูกเป็นคนเลือกนิทานที่จะฟังก่อนนอนเอง บทสนทนาในรูปแบบนี้จะช่วยสนับสนุนให้ลูกนั้นเป็นคนเลือกในสิ่งที่ชอบได้เองโดย ไม่ถูกการบังคับหรือยัดเยียดจากพ่อแม่ การให้ลูกเลือกเช่นนี้จะช่วยให้เขาเป็นเด็กที่กล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งข้อนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ 5. วันนี้ลูกมีเรื่องที่ทำให้เสียใจหรือเปล่า? เป็นคำถามที่แนะนำให้ทุกครอบครัวหมั่นตรวจสอบสภาพจิตใจและถามลูกอยู่สม่ำเสมอ เพราะในบางครั้งลูกไปโรงเรียนแล้วพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งในบางครั้งลูกอาจจะไม่กล้าที่จะพูดกับคุณพ่อคุณแม่โดยตรง […]

5 ปัญหาโรคลำไส้ในเด็กแรกเกิด ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กแรกเกิดนั้นภูมิต้านทาน และระบบต่างๆในร่างกายยังพัฒนาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเด็กแรกเกิดจึงมักเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องของลำไส้ซึ่งถึงเป็นปัญหาใหญ่เด็กแรกเกิดเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมี 5 ปัญหาโรคลำไส้ในเด็กแรกเกิดมาฝากกันให้คุณพ่อคุณแม่ได้คอยหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติของลูก เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ หรือรักษาเขาได้อย่างถูกวิธี จะมีอาการใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. อาการท้องผูก ถือเป็นอาการพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องคุณเจออย่างแน่นอน โดยสาเหตุหลักของอาการท้องผูกนั้นเกิดได้จาก 2 ปัจจัย ให้แก่ลูกมีอุจจาระแข็งแต่เมื่อถ่ายแล้วรู้สึกเจ็บก้นจึงเลือกที่จะกลั้นไว้ไม่ยอมถ่าย จนทำให้เกิดปัญหาลำไส้ในที่สุด และอีกหนึ่งปัจจัยคือระบบประสาทของลำไส้ไม่ทำงานจึงไม่มีการบีบตัว เด็กจึงไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้  งั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการของโรคได้ หากลูกมีอาการเกร็งขา หรือไขว้ขาไว้ไม่ยอมทานอะไรมีอาการท้องแข็งและมีเลือดปนออกมาตอนอุจจาระ มันคือลูกกำลังประสบกับปัญหาอาการท้องผูกอยู่สามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ลูกดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของการขับถ่าย คุณแม่สามารถผสมน้ำผลไม้ลงไปในน้ำนมได้เช่นน้ำแอปเปิ้ลหรือน้ำลูกแพรจะช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องมากยิ่งขึ้น 2. ลำไส้อักเสบ เกิดจากการมีเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างหนัก อาการที่พบเห็นโดยทั่วไปคือถ่ายเหลวเป็นน้ำติดต่อกันและมีเลือดปน และลูกมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมีน้ำมูกและมีไข้ร่วมด้วย อีกทั้งยังสังเกตได้ว่าปากแตกหรือเปล่าแห้งจากอาการขาดน้ำ มีอาการซึมและตัวเย็น ให้รีบพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด หรือสามารถรักษาในเบื้องต้นด้วยการให้ลูกจิบน้ำบ่อยขึ้นเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และมันทำความสะอาดอุปกรณ์ของเล่นหรือภาชนะที่ใส่อาหารให้ลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้คุณแม่ต้องล้างมือก่อนสัมผัสหรือให้นมลูกทุกครั้ง  3. อาการลําไส้อักเสบที่เกิดจากการแพ้โปรตีน กระเพาะของลูกไม่สามารถย่อยโปรตีนบางชนิดได้เช่นนมถั่วไข่ขาวเป็นต้นเสื้อการแพ้เหล่านี้นั้นจะส่งผลโดยตรงต่อลำไส้ วิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นคือหากตรวจพบว่าลูกมีอาการแพ้โปรตีนชนิดใดควรงดในการบริโภคอาหารชนิดนั้นโดยอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากมีอาการแพ้โปรตีนเกือบทุกชนิดให้รีบพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาทันที ขอดูอาจจะต้องได้รับอาหารเสริมที่พิเศษและแตกต่างจากเด็กทั่วไปนั่นเอง 4. ลําไส้กลืนกัน  เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงเด็กแรกเกิด ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากต่อมน้ำเหลืองตรงปลายลำไส้เล็กงั้นใหญ่กว่าที่ควร จึงทำให้เกิดการหดตัวของลำไส้เกิดขึ้น อาการที่จะสามารถพบได้บ่อยเช่น ลูกมีอาการปวดท้อง กระสับกระส่าย ร้องไห้เป็นพักๆ โดยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าเวลาลูกร้องขาทั้งสองจะฉันเขาขึ้นมา อุจจาระเมื่อสังเกตแล้วจะมีสีขาวเหมือนเลือดและมีเมื่อ ผสมผสานกับอาการอาเจียน […]

5 เคล็ดลับในการกู้หน้าพังให้กลับมาปังได้ของคุณแม่หลังคลอด

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เรื่องผิวพรรณ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาให้กลุ้มใจอย่างมาก สำหรับคุณแม่หลังคลอด เพราะเมื่อฮอร์โมนเปลี่ยน ไปร่างกายและผิวพรรณก็จะแปรผันไปตามฮอร์โมนทำให้คุณแม่หลังคลอดนั้นประสบกับปัญหาในเรื่องของผิวพรรณต่างๆมากมาย รวมไปถึงความเครียดและความเหนื่อยล้าที่ต้องเจอในชีวิตประจำวันจนทำให้ผิวพรรณของคุณแม่ไม่เนียนสวยเหมือนเคย โดยเฉพาะผิวหน้าเมื่อส่องกระจกดูแล้วอาจจะเกิดความไม่มั่นใจ เพราะปัญหาผิวหน้าของคุณแม่หลังคลอดนั้นมีมากมายเช่นเกิดฝ้า  กระ  จุดด่างดำ รอยสิว ต่างๆมากมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการดูแลผิวหน้าของคุณแม่หลังคลอด ให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่งเหมือนเคย จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 3 กฏเหล็ก ในการดูแลผิวหน้าเบื้องต้น ได้แก่ ล้าง เช็ด และบำรุง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในการดูแลผิวหน้าให้สวยงามและมีสุขภาพดี โดยคุณแม่ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของการเช็ดทำความสะอาดผิวพรรณ เพราะในแต่ละขั้นตอนนั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับผิวหน้าของเราด้วยกันทั้งสิ้น เช่น ในขั้นตอนล้างหน้า (Cleanse) ขั้นตอนนี้จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนผิวหน้าของเราให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน  ขั้นตอนเช็ดเตรียมผิว (Tone) เป็นการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุง โดยขั้นตอนนี้จะใช้โลชั่นในการเช็ดผิว หรือโทนเนอร์สูตรให้ความชุ่มชื้นก็ได้จะช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่นขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ครีมซึมลงสู่ผิวได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย คุณแม่สามารถพ่นสเปรย์น้ำแร่ใส่หน้าได้โดยตรงหรือเท่จากฝ่ามือและค่อยๆตบเบาๆที่ผิวเป็นการกระตุ้นให้ผิวนั้นพร้อมเปิดรับครีมบำรุงนั่นเอง ขั้นตอนบำรุง (Moisturizer) ไม่ว่าจะผิวหน้าแห้งหรือผิวหน้ามันคุณแม่จะต้องอย่าลืมที่จะบำรุงผิวพรรณในทุกครั้งหลังล้างหน้าเสร็จเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผิวของคุณแม่นั้นอิ่มฟูเต่งตึงและกระจ่างใสขึ้น การทา moisturizer จะช่วยให้ผิวหน้านั้นเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากยิ่งขึ้น ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรได้เป็นอย่างดี 1. การดูแลผิวหน้าสําหรับคนเป็นสิว ในระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายจะสร้าง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้ร่างกายของคุณแม่บางคนนั้นเกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้นส่งผลให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานหนักจนเป็นสาเหตุให้ผิวหน้าของคุณแม่และเป็นสูงกว่าปกตินั่นเอง วิธีการดูแลที่ถูกต้อง คือคุณแม่ควรใช้คลีนเซอร์ในการล้างทำความสะอาดผิวหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง  โดยให้เลือกสูตรที่อ่อนโยนที่สุด […]

5 ลักษณะนิสัยของคุณแม่ ที่ลูกต่อต้าน และมักใช้สอนลูกไม่ได้ผล

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การเป็นคุณพ่อคุณแม่น้ำซึ่งแน่นอนว่าจะต้องอยากให้ลูกนั้นได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลายบ้านประสบกับปัญหาที่สอนลูกอย่างไรลูกก็ไม่เชื่อฟัง มีการต่อต้าน ถึงแม้ว่าเราจะพยายามสอนหรือพูดกับลูกอย่างไรเขาก็ไม่เคยฟังหรือไม่ยอมทำตามเลย จนหลายครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่นะโมโหแล้วหงุดหงิดขึ้นมาได้ แต่ในมุมกลับกันคุณพ่อคุณแม่ลองกลับมาสังเกตตัวคุณเอง ว่าคุณมีลักษณะนิสัยที่ทำให้ลูกนั้นมักต่อต้านหรือไม่เชื่อฟังหรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะมี 5 ลักษณะนิสัยของคุณแม่ ที่ถ้าหากใช้นิสัยเหล่านี้สอนลูก ลูกมักจะไม่เชื่อความและไม่ยอมทำตามอย่างแน่นอน จะมีลักษณะนิสัยใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. การใช้อารมณ์ หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่เรามักใช้อารมณ์ในการตัดสินกับลูกและผลลัพธ์ที่ได้คือยิ่งทำให้ลูกนั้นงอแง ร้องไห้ ไม่ยอมเชื่อฟัง และส่วนมากมักจะยิ่งทำให้สถานการณ์มันแย่ลง หากคุณพ่อคุณแม่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ให้ลองปรับเปลี่ยน ควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงก่อนที่จะพูดคุยกับลูกดู เมื่อไหร่ที่คุณแม่อารมณ์เย็นแล้ว น้ำเสียงหรือลักษณะท่าทางในการพูดจะทำให้ดูสุขุม นุ่มลึก และดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลดีให้ลูกนั้นยอมปฏิบัติตามและยอมเชื่อฟังอย่างง่ายดาย  2. ความคาดหวังเป็นเหตุสังเกตได้ ความคาดหวังนั้นเป็นดาบสองคมพี่ถ้าหากเราคาดหวังมากเกินไปจะทำให้กลายเป็นความกดดันและทำให้ลูกและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข เรานั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหลายสิ่งหลายอย่างเราสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวแต่ในขณะเดียวกัน ลูกนั้นยังไม่มีประสบการณ์มากนัก จึงทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้และฝึกฝน คุณพ่อคุณแม่จะต้องใจเย็น ไม่คาดหวังในตัวลูกมากจนเกินไป การค่อยๆเรียนรู้จะทำให้พัฒนาการของลูกนั้นไวมากกว่าการโดนกดดันให้ทำในสิ่งที่ตัวไม่ถนัดหรือไม่ชอบนั่นเอง 3. เสียงดังใส่ลูก หลายครั้งที่เรามักตะโกนหรือพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟัง เพื่อให้ลูกนั้นได้ยินรักยอมทำตาม ถ้าคุณแม่รู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นมันกลับเร็วร้าย ลูกนั้นจะรู้สึกไม่อยากปฏิบัติตาม เขาจะไม่ยอมฟังที่เราพูดละไม่สนใจเลย หากเป็นเช่นนี้คุณแม่ลองปรับเปลี่ยนวิธีลดการพูดเสียงดังลงลองเดินเข้ามาใกล้ๆ นั่งลงแล้วพูดดีๆกับเขา มีการสบตากันบ้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ จะทำให้เขาสนใจรับฟังที่คุณแม่พูดมากยิ่งขึ้น 4. พูดในขณะที่ลูกอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อม ลักษณะนิสัยของเด็กมักจะแยกแยะภาวะทางอารมณ์ไม่ออก คุณดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของลูก หากจะสอนหรืออยากให้ลูกปฏิบัติตามอะไรนั้นคุณต้องบอกเขาในขณะที่เขาพร้อมที่จะฟัง ไม่บอกกับเขาในขณะที่เขาง่วง รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกหิว หรือรู้สึกไม่สบายตัว […]

5 ข้อควรระวัง เป็นพ่อแม่หัวโบราณกำหนดกรอบให้ลูกโดยไม่รู้ตัว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทัศนคตินั้นมีอิทธิพลต่อความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสังคมในครอบครัว ยิ่งบ้านใดมีญาติผู้ใหญ่วัยสูงอายุมีโอกาสสูงมากที่จะพบกับปัญหานี้ ซึ่งการเลี้ยงลูกในปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับเลยว่าการเลี้ยงดูในรูปแบบเก่าและไม่สามารถตอบโจทย์ ได้อย่างครบถ้วน ระบบความคิดและการอบรมสั่งสอนของคนยุคเก่าและยุคใหม่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาจจะมีบางข้อที่ยังสามารถ นำทัศนคติแบบเก่ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับลูกในยุคใหม่ได้ ซึ่งบางครั้งการสั่งสอนในรูปแบบเก่านั้นก็มีข้อดีมากมาย แต่บางข้อต้องยอมรับเลยว่า เป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นการเลี้ยงลูกตามคุณหมอจึงเป็นสิ่งที่ดีและเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดังนั้น วันนี้เราจึงมีข้อควรระวังของการเป็นคุณแม่ของโบราณที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกในปัจจุบันได้จะมีลักษณะอย่างไรบ้างนั้นเป็นไปตามกันเลย 1. ใช้เพศเป็นตัวกำหนดในการเลือกความชอบให้กับลูก ในบางครั้งคุณพ่อคุณแม่เองอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก และอาจจะมีค่านิยมปลูกฝังกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเด็กผู้หญิงจะต้องชอบสีชมพูในขณะเดียวกันเด็กผู้ชายส่วนมากมักชอบสีฟ้า ซึ่งการยัดเยียดความชอบในรูปแบบนี้นั้นอาจส่งผลให้ลูกเกิดความลำบากใจในอนาคตได้ และอาจจะจำกัดความชื่นชอบของลูกไว้ภายในกรอบของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งสิ่งที่ควรทำจริงๆนั้นควรให้ลูกเลือกในสิ่งที่เขาชอบเอง 2. ใช้วิธีการดุด่าหรือตีเพื่อสั่งสอน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล และคนเฒ่าคนแก่มักปลูกฝังว่ามันคือวิธีที่ถูกต้อง ซึ่งในความจริงแล้วนั้น การปลูกฝังหรือสร้างความหวาดกลัวให้กับลูกนั้นจะทำให้ลูกเกิดความฝังใจ หรือในบางครั้งนั้นสิ่งที่ลูกทำมันผิด แต่ถูกสั่งสอนด้วยวิธีการตี หรือด่าจนลูกกลัว ลูกจึงเลิกทำสิ่งนั้นเพราะกลัวถูกดุด่าไม่ได้เป็นเพราะตระหนักรู้ในสิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นจะส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคต  3. ตามติดทุกฝีก้าวเพราะกลัวลูกจะเหลวไหล วิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่าเขาถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีอิสระ จนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ซึ่งการเลี้ยงลูกเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อเขาทำให้เขาไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลยในอนาคตเพราะกลัวจะทำผิดกฎระเบียบต่างๆที่คุณสร้างขึ้นมา ทางที่ดีคุณควรสร้างสมดุลทั้งเวลาจับและเวลาปล่อยให้สมดุลกันให้ลูกได้มีอิสระและมีโอกาสได้ใช้ความคิดของตัวเองบ้าง จะทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น 4. เลือกสิ่งที่คิดว่าจะมั่นคงสำหรับลูกและอ้างว่าเพื่ออนาคต การหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนั้นเป็น หน้าที่ที่สำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณพ่อคุณแม่จะต้องถามความสมัครใจและความรู้สึกของลูกเป็นอันดับแรก ว่าเขาต้องการหรือว่าชื่นชอบในสิ่งที่คุณเลือกให้หรือไม่ เช่น การส่งเสริมการเรียนพิเศษ การเลือกคู่ครอง เป็นต้น ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจจะต้องเคารพในความรู้สึกของลูกด้วย 5. ความคิดของพ่อแม่ถูกเสมอ […]

4 ปัญหา เด็กทานยาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปัญหาเด็กทานยากเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านจะต้องประสบกับปัญหานี้อย่างแน่นอน ซึ่งถือเป็นปัญหาโลกแตกและเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ปกครองเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องหาวิธีที่ให้ลูกน้อยนั้นทานให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถ้าหากลูกทานอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้เขาเจริญเติบโตได้อย่างสมวัย  และมีพัฒนาการที่ดีในอนาคต วันนี้เราจึงมีข้อมูลผลกระทบของเด็กที่ทานยากมาฝากกันสำหรับบ้านไหนที่กำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. สำหรับเด็กไม่ยอมทานผัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เด็กน้อยชอบอาหารที่มีรสชาติหวาน ดังนั้นผักจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจที่เด็กนั้นหลีกเลี่ยงและไม่ชอบเป็นอย่างมาก ด้วยรสชาติที่ขมและมีกลิ่นเหม็นเขียวรวมทั้งมีเนื้อสัมผัสที่หยาบเพราะเป็นกากใยสูงจึงทำให้เด็กนั้นไม่ชอบทานนั่นเอง แต่ผักและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ กากใยและสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีนั่นเอง  อีกทั้งผักยังช่วยบำรุงสายตา กระดูก บำรุงผิวพรรณ บำรุงเหงือก รวมถึงช่วยให้ฟันนั้นแข็งแรงได้อีกด้วย แต่ถ้าลูกไม่ยอมทานผักเลย ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง ลูกจะมีปัญหาในเรื่องของระบบขับถ่าย ทำให้ท้องผูก และมีภูมิต้านทานน้อยลง สำหรับวิธีการแก้ไขคือให้ลูกลองทานผักที่หลากหลายอย่างละเล็กน้อยหรืออาจจะเป็นผักแปรรูปก็ได้เช่นกันจะช่วยให้เขายอมทานผักและได้สารอาหารมากยิ่งขึ้น 2. สำหรับเด็กไม่ยอมทานผลไม้ ขอด้วยรสชาติและกลิ่นของผลไม้บางชนิดทำให้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ลูกนั้นไม่ยอมทานผลไม้หรือเก็บผลไม้ชนิดอื่นไปด้วย ซึ่งผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมากอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหาร และมีสารต้านอนุมูล โดยเฉพาะในผลไม้รสเปรี้ยวซึ่งจะมีวิตามินซีสูง วิตามินที่สำคัญเหล่านี้จะไปช่วยเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายให้แข็งแรง เช่นในระบบหลอดเลือด กระดูกอ่อน สารสื่อประสาทในสมอง รวมถึง 9 เนื้อเป็นต้น นอกจากนี้ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงยังช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันให้กับลูก ช่วยลดการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ถ้าหากลูกไม่ยอมทานผลไม้จะส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และทำให้สารคอลลาเจนที่ร่างกายใช้ในการหล่อลื่นและประสานการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อต่างๆและลดน้อยลงรวมถึงเด็กอาจจะมีรอยช้ำและเป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ง่าย สำหรับวิธีแก้ไขคือลองเปลี่ยนมาให้ลูกทานเป็นน้ำคั้นผลไม้สด อาจทำให้ลูกนั้นทานผลไม้ได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง  3. เด็กไม่ยอมทานปลา มักมีปัญหาในเรื่องของผิวพรรณ พัฒนาการทางสมองล่าช้าและที่สำคัญเด็กจะขาดโอเมก้า […]

5 วิธี ชวนลูกเรียนรู้การเข้าสังคม ลดอาการลูกติดสมาร์ทโฟน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคดิจิตอลนี้คุณแม่ส่วนใหญ่มักให้ลูกเรียนรู้จากสิ่งต่างๆรอบตัวแบบไร้ขอบเขตด้วยโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งการให้ลูกใช้สมาร์ทโฟนนั้นถือเป็นดาบสองคม มีทั้งประโยชน์และมีโทษในเวลาเดียวกัน ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เปิดใจให้ลูกใช้สมาร์ทโฟนในการเรียนรู้จะต้องมีการกำหนดเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสลูกติดหน้าจอมือถือ หากคุณพ่อคุณแม่ไม่กำชับกำชับ โทรศัพท์มือถือตัวร้ายนี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านต่างๆของลูกมากกว่าที่เราคิด อาจทำให้ลูกนั้นติดจอ และไม่ยอมเข้าสังคม รวมถึงพัฒนาการทางด้านต่างๆนั้นลดลงได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการชวนลูกเข้าสังคมเพื่อลดโอกาสลูกติดหน้าจอมือถือ ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกดูอย่างสร้างสรรค์ในการใช้ชีวิตจริง แทนการนั่งอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา จะมีเทคนิคและวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนลูกให้รู้จักวิธีทำความรู้จักคนอื่นก่อน การทำความรู้จักคนอื่นก่อนไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องน่าอายอะไร ถ้าอยากให้ลูกเข้าสังคมได้เก่งคุณพ่อคุณแม่จึงควรเริ่มต้นจากการกล่าวทักทายหรือพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก่อน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักการเข้าหาคนอื่นได้อย่างถูกวิธี และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากขึ้น จะทำให้เขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้เร็วยิ่งขึ้นออกจาก Comfort Zone  ได้ง่ายขึ้น การทำความรู้จักคนอื่นก่อนจะทำให้ลูกนั้นได้เปรียบการใช้ชีวิตในทุกๆด้านซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากในการเติบโตขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรปลูกฝังและส่งเสริมทักษะทางด้านนี้ให้กับลูก รู้จักเข้าหาผู้อื่นก่อนและรู้จักการสื่อสารที่ไม่ทำให้อึดอัดจนเกินไป ว่าลูกโตขึ้นจะทำให้เขากล้ามีสังคมใหม่ๆและไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆนั่นเอง 2. พาลูกไปพบปะกับเพื่อนใหม่และสังคมใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีของการเข้าสังคม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปเปิดโลกหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากขึ้น ให้เขาได้เจอกับเพื่อนใหม่และสังคมใหม่ๆที่น่าสนุกและตื่นเต้น ซึ่งการพบปะกับเพื่อนใหม่ในช่วงเวลาเดียวกันจะทำให้เขามีความหลากหลายทางสังคมมากยิ่งขึ้น และทำให้เขาเรียนรู้ที่จะปรับตัวในการเข้ากับสังคม และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ทำให้ลูกมีสังคมที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น   3. ฝึกให้ลูกเข้าสังคมด้วยบทบาทสมมุติ การที่คุณพ่อคุณแม่เล่น บทบาทสมมุติกับลูกจะช่วยให้เขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้นเช่นเลือกนิทานเรื่องที่ชอบแล้วสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆหรือลอง สมมุติเป็นคนแปลกหน้าพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างจินตนาการและความคุ้นเคยในการเข้าสังคมให้กับเขาได้มากยิ่งขึ้น สมมุติเป็นคนแปลกหน้าพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างจินตนาการและความคุ้นเคยในการเข้าสังคมให้กับเขาได้มากยิ่งขึ้น การเล่นบทบาทสมมุติจะช่วยฝึกการเข้าสังคม และช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นสำหรับเด็กวัยปฐมวัยจะช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆได้เป็นอย่างดีช่วยให้เขาเข้าสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยที่ไม่กดดันและไม่เคร่งครัดมากจนเกินไป ทำให้ลูกได้สนุกไปกับการเรียนรู้ได้อีกด้วย  4. ชวนลูกไปกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนให้มากขึ้นกว่าเดิม การที่คุณพ่อคุณแม่จะชวนลูกๆไปพบปะกับเพื่อนในสมัยนี้เป็นเรื่องยากเพราะส่วนมากเด็กมักจะจมอยู่กับหน้าจอมือถือเป็นเวลานาน เล่นเกมจนเพลินไม่อยากลุกไปไหน ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อลูกเป็นอย่างมาก เช่นทำให้เขาเป็นโรคสมาธิสั้น สายตาสั้น เป็นต้น แต่การไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน […]

4 ขั้นตอน ที่จะช่วยแนะนำให้คุณแม่วางตัวให้ถูกต้อง เมื่อรู้ว่าลูกแอบดูสื่อลามก

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เมื่อลูกน้อยของเราเจริญเติบโตขึ้นทุกวันอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกเลยนั่นก็คือการเติบโตมาในช่วงอายุของวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นวัยที่จะต้องได้รับการดูแลและใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะในช่วงวัยรุ่นนี้จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ลูกกำลังจะพัฒนาตนเองจากในวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ อาจจะมีในเรื่องของการติดเพื่อน มีความคิดเป็นของตัวเองมากยิ่งขึ้น มีความอยากรู้อยากลองมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงวัยรุ่น เด็กจะต้องสงสัยและมีความอยากรู้ในเรื่องของเพศศึกษาต่างๆอย่างแน่นอน  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ และหากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนกำลังประสบกับปัญหาลูกแอบดูสื่อลามกต่างๆ ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป คุณพ่อคุณแม่ควรชี้แจงไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องเพศศึกษานั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ลูกควรรับรู้ในทางที่ถูกต้องนั่นเอง วันนี้เราจึงมี 4 ขั้นตอนในการวางตัวหากพบว่าลูกแอบดูสื่อลามก คุณพ่อคุณแม่ควรวางตัวอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ไม่ดุด่าหรือตำหนิลูกในทันที คุณพ่อคุณแม่ควรหายใจเข้าลึกๆและปรับอารมณ์ความรู้สึกรวมถึงความคิดของตนเองให้นิ่งยิ่งขึ้น แน่นอนว่าคุณอาจจะรู้สึกว่าลูกนั้นยังเด็กอยู่เลยไม่ควรแอบดูสื่อประเภทนี้ แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ยิ่งห้ามใจยิ่งกลายเป็นข้อผิดพลาดที่รุนแรงและอาจจะเกิดเรื่องเสียหายตามมาในภายหลังได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีอารมณ์โมโหหรือฉุนเฉียวใส่ลูกจะทำให้เขากลัวกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้และเมื่อเกิดปัญหาใดที่เกี่ยวกับเพศศึกษาในลักษณะนี้เขาจะไม่กล้าที่จะมาปรึกษาหรือถามคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป อาจทำให้เขามีเพื่อนเป็นที่พึ่งหลักซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการเรียนรู้ด้วยตัวเองกับกลุ่มเพื่อน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องเปิดใจและชี้แจงให้กับลูกอย่างมีเหตุผล 2. สำรวจอายุของลูกให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่เรากำลังจะสอน การดูสื่อลามกของเด็กๆไม่ว่าจะเป็นจากหน้าจอมือถือหนังสือใดก็ตาม คุณพ่อคุณแม่จะต้องคำนึงถึงอายุของลูกเป็นหลักว่าเขาควรได้รับความรู้ในเรื่องเพศศึกษาในขอบเขตได้เท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น ในวัยปฐม ซึ่งยังไม่ใช่เรื่องเวลาที่เขาจะเรียนรู้หรือสนใจเรื่องนี้เป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่จึงสามารถสอนได้ง่ายกว่าช่วงอายุอื่นสามารถบอกกับเขาตรงๆว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่ต้องมีข้อจำกัดกับลูกว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัว มัธยมปลาย เป็นวัยที่เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งความรู้สึกและความต้องการ ฉะนั้นในวัยนี้จึงเป็นวัยที่เข้าถึงสื่อลามกได้อย่างเต็มรูปแบบและง่ายมากกว่าวัยอื่น คุณพ่อคุณแม่ต้องดูพฤติกรรมและอุปนิสัยของลูกว่าเป็นเช่นไร  สามารถพูดได้โดยตรงหรือไม่หรือต้องค่อยๆสอนจะทำให้ลูกยอมเปิดใจพูดคุยด้วยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น  3. ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม คุณพ่อุณแม่ควรหาข้อมูลหรือเรื่องที่จะสอนลูกให้ถูกต้อง โดยข้อมูลที่ใช้จะต้องอัพเดทและทันสมัยเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ลูกยอมเปิดใจรับฟัง และเข้าใจในเรื่องเพศศึกษาให้ได้อย่างถูกต้อง โดยที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมั่นใจในร่างกาย วุฒิภาวะและอารมณ์ของวัย โดยอธิบายเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ง่ายซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเหตุผลและความเป็นจริงในปัจจุบันด้วย จะทำให้ลูกนั้นเปิดใจรับฟังและพร้อมที่จะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ได้ตลอดเวลา 4. รับฟังความรู้สึกของลูก ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่เคอะเขินอาย ซึ่งเรื่องเพศศึกษาคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวหรือผิดศีลธรรมอะไร […]

5 อาการป่วยของลูกน้อย ที่มักพบในช่วงฤดูหนาว 

สารพันปัญหาแม่และเด็ก

เมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามาแล้วสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงลูกให้ถูกวิธี ดูแลลูกน้อยให้มีร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ เพราะในช่วงฤดูหนาวนั้นเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ลูกมักจะป่วยบ่อยมากที่สุด  เพราะจะต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างกะทันหัน ซึ่งภูมิคุ้มกันของเด็กน้อยนั้นยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ โดยความเย็นจากฤดูหนาวนั้น จะทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและสามารถแพร่กระจายได้มากกว่าฤดูอื่นๆนั่นเอง โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมักพบได้บ่อยมากที่สุด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมรับมือกับอาการป่วยของลูกในช่วงหน้าหนาว จะมีอาการป่วยใดที่ต้องระวังบ้างนั้นติดตามกันเลย 1. โรคไข้หวัด น้ำเป็นโรคทั่วไปที่สามารถพบได้บ่อยมากในเด็กเล็ก ซึ่งอาการป่วยจากโรคไข้หวัดนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้นั้นคือลูกน้อยอาจมีไข้ต่ำ มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล รวมถึงมีอาการไอจามและทานอาหารได้ไม่ปกติ โดยไข้หวัดใหญ่นั้นเด็กจะมีไข้สูง จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วยซึ่งอาการจะรุนแรงถึงขั้นมีภาวะปอดอักเสบแทรกซ้อนได้เลยทีเดียว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่  จะต้องเตรียมรับมือและหมั่นตรวจเช็คอาการของลูกอยู่เสมอ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือควรให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยรักษาร่างกายของลูกให้อบอุ่นอยู่เสมอ 2. โรคอุจจาระร่วง เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในฤดูหนาวส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัสโรตา ผมได้บ่อยมากในเด็กเล็ก ซึ่งมักติดต่อด้วยการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน โดยโลกนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางน้ำมูกหรือน้ำลายได้อีกด้วย อาการโรคอุจจาระร่วงโดยทั่วไปจะไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดคือมีไข้ อาเจียนและถ่ายเป็นน้ำ  หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการของลูกเข้าข่ายโรคอุจจาระร่วง ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที 3. โรคอีสุกอีใส เป็นอีกโรคหนึ่งที่จะเกิดได้ในเด็กเล็ก อาการของโรคนี้เด็กจะเริ่มป่วยจากการมีไข้ต่ำ หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ ใบหน้าและตามลำตัว โดยจะเริ่มเป็นผื่นแดงตุ่มนูนและเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสๆภายในระยะเวลา 2-3 วันจะเริ่มมีไข้  หลังจากนั้นถึงจะเป็นหนองแล้วเริ่มแห้งตกสะเก็ด โดยทั่วไปโรคนี้มักหายได้เอง แต่ต้องระวังผู้ป่วยอาจมีอาการแทรกซ้อนทางสมอง หรืออาจทำให้เกิดปอดอักเสบได้ เด็กที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำแล้วป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน  4. อาการผิวแห้งแตก ในฤดูหนาว ถือเป็นอาการที่ปกติสามารถพบได้บ่อยในช่วงที่มีความชื้นในอากาศลดลง ด้วยความที่อากาศหนาวเย็นยังทำให้น้ำระเหยจากผิวหนังจนผิวเด็กเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย […]

5 ความเสี่ยง ที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยหากนอนหลับยังไม่มีคุณภาพ 

สารพันปัญหาแม่และเด็ก

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างก็หวังว่าลูกน้อยจะเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัยทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจ ซึ่งการมีพัฒนาการที่ดีนั้นล้วนแล้วแต่มาจากพื้นฐานของการนอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ การหลับอย่างมีคุณภาพหมายถึงลูกน้อยหลับได้สนิทและยาวนาน ในขณะที่ลูกหลับสนิทนั้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตหรือเรียกว่าโกสฮอร์โมนซึ่งจะหลั่งมากในช่วงเวลากลางคืนหลังจากที่หลับไปแล้ว 1-2 ชั่วโมง ถ้าร่างกายนอนหลับไม่เพียงพอหรือหลับๆตื่นๆจะส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมน การเจริญเติบโตนั้นได้ไม่เต็มที่ ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านความสูงและร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้นมีความสำคัญสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงมี 5 ความเสี่ยงที่เกิดจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างไม่มีคุณภาพ สำหรับเด็กมาฝากกัน จะส่งผลกระทบทางด้านใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตน้อยลง หากลูกน้อยนอนหลับอย่างไม่มีคุณภาพจะทำให้พัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านสมองรวมถึงทางด้านความคิดและความจดจำลดลงเนื่องจากฮอร์โมนการเจริญเติบโตนั้นหลังได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกให้ลูกนอนหลับยาวและหลับให้สนิทในช่วงเวลากลางคืน ไม่สะดุ้งตื่นหรือร้องงอแงกินนมในเวลากลางคืนนั้นเอง 2. ลูกเรียนรู้สิ่งต่างๆลดลง เด็กที่นอนหลับพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอหรือหลับอย่างไม่มีคุณภาพนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงทางด้านสมองซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมอารมณ์ของเด็กด้วยเพราะเมื่อเด็กเริ่มอารมณ์ไม่ดีการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวนั้นก็จะลดน้อยลงด้วยทำให้เขาขาดประสบการณ์ทั้งด้านการเล่นและการเรียนรู้ไปพร้อมกัน ส่งผลให้พัฒนาการในด้านต่างๆของเด็กนั้นถอยลงตามไปด้วย 3. เสี่ยงเกิดโรคเตี้ยแคระในเด็ก การนอนหลับอย่างไม่มีคุณภาพนั้นโกสฮอร์โมนภายในร่างกายของเด็กๆจะเริ่มทำงานอย่างผิดปกติและทำงานได้ไม่เต็มที่ทำให้ร่างกายนั้นไม่ได้รับการเจริญเติบโตทางด้านความสูงที่เพียงพอ เด็กจึงเสี่ยงที่จะเป็นโรคเตี้ยแคระได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 4. ลูกจะนอนกลางวันมากยิ่งขึ้น หาคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตเด็กๆดูว่าเขาเริ่มชอบนอนหลับในเวลากลางวันแต่ตื่นในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติสำหรับบุคคลทั่วไป จะทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลากลางวันและกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว ตาสว่างในเวลากลางคืน มักพบตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 1-2 เดือน โดยอาการเหล่านี้เกิดจากสมองที่ควบคุมการนอนของเด็กนั้นยังไม่พัฒนาเต็มที่เมื่อเด็กโตขึ้นอาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้น ผสมผสานกับการฝึกของคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกหลับในช่วงเวลากลางคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะทำให้เขารู้สึกตื่นตัว และอยากที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลากลางวันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 5. ลูกก้าวร้าวอารมณ์ไม่ดีแล้วงอแงง่าย เป็นผลกระทบมาจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมาลูกจะรู้สึกไม่สดชื่น ไม่กระปี้กระเป่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตได้ว่าลูกนั้นอารมณ์ไม่ดีและก้าวร้าวได้ง่าย งอแง ดื้อ เพราะเมื่อสมองได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอจึงไม่สามารถสั่งการให้ร่างกายพร้อมต่อการทำกิจกรรมใดๆก็ตามได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง จะสังเกตเห็นได้ว่าการนอนหลับพักผ่อนหรือการนอนอย่างมีคุณภาพในเด็กนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องฝึกให้ลูกนอนยาวในช่วงเวลากลางคืนให้ได้ เพื่อที่จะให้ลูกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โกรทฮอร์โมนจะผลิตและหลั่งออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ลูกน้อยนั้นเจริญเติบโตสมวัย พร้อมเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆในช่วงเวลากลางวันได้มากยิ่งขึ้น มีความกระตือรือร้นและเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสตลอดทั้งวัน […]