5 เทคนิคการสอนลูกให้เชื่อฟังได้ง่าย พร้อมเข้าใจและไม่ต่อต้าน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วการเลี้ยงดูลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และยิ่งถ้าหากลูกโตขึ้นเขายิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้นการจะหวังให้ลูกนั้นเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และจะต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสาร พร้อมยอมทำตาม และไม่เกิดการต่อต้านเรานั่นเอง โดยเฉพาะในช่วงวัย 2-3 ขวบ  เป็นวัยที่เขาต่อต้าน และดื้อรั้นมากที่สุด ลูกจะมีความคิดเป็นของตัวเองสูง เอาแต่ใจตัวเองสูง ไม่ยอมทำตามในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ หรือใช้วิธีการที่เงียบ ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เรานั้นโมโหและเผลอหงุดหงิดใส่ลูกได้  วันนี้เราจะมีเคล็ดลับในการอบรมสั่งสอนลูกให้ง่ายยิ่งขึ้น โดยที่เขาพร้อมยอมทำตาม และเชื่อฟังในสิ่งที่เราสอน จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ต้องมีแบบอย่างให้ลูกเห็น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจะสอนอะไรให้เขาจดจำนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรมีแบบอย่างให้ลูกเห็น ลูกจะพร้อมยอมทำตามได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเด็กในวัย 3-6 ขวบ ที่จะเป็นช่วงวัยชอบลอกเลียนพฤติกรรมของคนใกล้ชิด โดยที่ลูกๆนั้นไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ว่าพฤติกรรมใดควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะพยายามเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกในช่วงวัยนี้ จะทำให้เขาซึมซับพฤติกรรมดีๆเหล่านั้นจากคุณพ่อคุณแม่มาได้ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นนั้น เป็นวิธีที่ดีกว่าการออกคำสั่งให้ลูกทำ ลูกจะไม่เกิดการต่อต้าน และค่อยๆซึมซับพฤติกรรมดีๆเหล่านั้นมา 2. สอนลูกด้วยน้ำเสียง และสายตาแห่งความรัก  เมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนลูก ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ควรใช้คำพูด และท่าทางที่อ่อนโยน ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่ตะคอกใส่ลูก  ค่อยๆพูดอย่างนิ่มนวล รับฟังสิ่งที่ลูกจะอธิบาย ก่อนจะให้ลูกทำอะไร ให้เรียกชื่อลูก แล้วใช้คำพูดง่ายๆสอนลูก เขาจะรับรู้ และปฏิบัติตามได้ง่ายกว่าเราออกคำสั่ง 3. มีข้อตกลงร่วมกัน […]

5 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุขในยุค New Normal

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้โรคระบาด covid -19  นั้น ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน โดยเฉพาะเด็กๆที่ปรับตัวให้เข้ากับยุค New Normal โดยยุคนี้ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณพ่อคุณแม่จะเป็นกังวลว่าลูกจะได้รับเชื้อไวรัส เพราะการระบาดระลอกใหม่นี้ สามารถติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามเด็กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขได้ในยุคนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีทักษะและพัฒนาการทางด้านความคิดได้อย่างไร้ขีดจํากัด  โดยที่ยังสามารถปฏิบัติตามมาตรการ การป้องกันเชื้อโรคของรัฐบาลได้  วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขในยุค New Normal มาฝากกันจะมีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้อย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ปล่อยให้เขามีอิสระในการเล่น สำหรับคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเป็นกังวลและมีความห่วงลูกมากจนเกินไป จนอาจจะจำกัด พื้นที่ในการเล่น หรือห้ามนู่นห้ามนี่ไม่ให้ลูกเล่นอย่างอิสระ เพราะกังวลในเรื่องของสุขอนามัยของลูก ซึ่งความห่วงใยเราซึ่งความห่วงใยเหล่านี้ อาจเป็นดาบสองคม ปิดกั้นการพัฒนาการของลูกโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นแนะนำว่าให้คุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้เขาเล่นอย่างอิสระ จะทำให้ลูกเกิดกระบวนการความคิด และมีทักษะการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น การปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระนั้นจะช่วยให้เขาปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เขามีความสุขในยุค New Normal นี้อย่างแท้จริง  2. เลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลี้ยงลูกในยุคนี้นั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง  สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกวินาที แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนในตัวตนของ เคารพการตัดสินใจของลูก และสนับสนุนให้เขาเป็นตัวของตัวเองได้มากที่ วิธีการเลี้ยงลูกเช่นนี้จะไม่กดดันลูก จะทำให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และที่สำคัญสามารถให้ลูกค้นพบความชอบหรือความเป็นตัวของตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น ลูกจะมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้นหากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและสนับสนุนเขา  3. ไม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ข้อนี้สำคัญมาก ถึงแม้ว่าเราจะมอบความเป็นอิสระให้กับเขา แต่จะต้องมีขอบเขต และเลี้ยงดูอยู่บนพื้นฐานของความพอดี […]

5 เคล็ดลับ ในการรับมือกับลูกกินยาก แก้ปัญหาลูกเลือกกินได้อย่างถูกวิธี

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เมื่อเด็กอยู่ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตเขาจะมีพัฒนาการความคิดและลักษณะนิสัยส่วนตัว จะสามารถแยกแยะสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบออกได้อย่างชัดเจน และเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านน่าจะเคยประสบปัญหากับลูกที่ชอบเลือกกิน ไม่ยอมกินผัก เลือกกินเฉพาะสิ่งที่ตนชอบ หรือกินข้าวยาก โดยบางครั้งของที่ลูกชอบกินหนูก็อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายนะ ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก โดยธรรมชาติของเด็กแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะชื่นชอบอาหารที่มีรสชาติอร่อย แปลกใหม่ และหลากหลาย มักจะปฏิเสธอาหารที่ตนเองไม่ชอบหรืออาหารที่มีประโยชน์ อย่างเช่นผักผลไม้ ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามหาเมนูอาหารที่หลากหลายและมีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของลูก เพื่อให้ร่างกายนั้นเจริญเติบโต ได้อย่างมีคุณภาพนั่นเอง วันนี้เราจะมีวิธีในการรับมือกับลูกกินยากมาฝากกัน จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัยให้ลูกหันมาทานอาหารได้ง่ายยิ่งขึ้น การให้ลูกด้วยหรือเป็นส่วนหนึ่งในการทำอาหารนั้นจะทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกับอาหารที่ตัวเองทำ และชื่นชอบในการทานอาหารมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มจากง่ายๆโดยการให้ ลูกเป็นคนเลือกวัตถุดิบ เลือกเมนูที่ชอบ และให้เป็นลูกมือช่วยหยิบจับสิ่งของเล็กๆน้อยๆ จะทำให้เขารู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของอาหารมากยิ่งขึ้น 2. กำหนดเวลาในการทานอาหาร เวลาในการทานอาหารนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกทานข้าวภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่นานจนเกินไป วิธีนี้จะสามารถช่วยฝึกวินัยให้ลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมในการทานอาหารของเด็ก คือ 20-30 นาที เท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ลูกจะเริ่มไม่สนใจและเล่นอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า วิธีนี้ ช่วงแรกๆอาจจะยากสักหน่อย แต่เมื่อปฏิบัติจนเป็นนิสัยจะทำให้ลูกเรียนรู้กติกาในการทานอาหารร่วมกัน รวมถึงมีวินัยมากยิ่งขึ้น 3. หาเมนูใหม่ๆให้ลูกทานเสมอ เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบอาหารที่หลากหลายและแปลกใหม่อยู่เสมอ หากให้ลูกน้อยทานอาหารที่ซ้ำซากจำเจ จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและไม่อยากอาหารไปเลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะรังสรรค์เมนูอาหารที่หน้าตาแปลกใหม่น่ารับประทาน รวมถึงรสชาติที่หลากหลาย และมีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 […]

5 เคล็ดลับ ทำอย่างไรเมื่อลูกพบเจอกับความผิดหวังและพ่ายแพ้

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้ เราต้องอบรมเลี้ยงดูลูกให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมออกเผชิญสู่โลกภายนอกได้อย่างชาญฉลาด และอีกหนึ่งสิ่งที่ลูกจะต้องมีนั่นคือ ภูมิคุ้มกันเมื่อพบกับความพ่ายแพ้และผิดหวัง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องปลูกฝังและให้ลูกค่อยๆซึมซับรวมถึงจัดการกับความผิดหวังเหล่านั้นให้ได้อย่างมีคุณภาพ คุณพ่อคุณแม่จะต้องสอนให้ลูกได้เข้าใจในการจัดการกับอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองที่รู้สึกผิดหวังพ่ายแพ้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่ท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการรับมือกับความผิดหวังความพ่ายแพ้ของลูก ให้ลูกนั้นไม่จมอยู่กับความเศร้าเสียใจนาน จะมีเคล็ดลับใดบ้างนั้นไม่ติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกรู้จักความพ่ายแพ้และผิดหวัง การทำความเข้าใจและยอมรับกับความผิดหวังนั้นมีประโยชน์อย่างมาก จะช่วยให้ลูกนั้นไม่รู้สึกจมอยู่กับความเศร้านานเกินไป รู้จักยอมรับและเข้าใจ รวมถึงสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี คุณสามารถฝึกลูกได้ด้วยการลองแข่งขัน โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้เพื่อให้ลูกรู้สึกภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง แต่ควรปล่อยให้ลูกจะได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และหากพบว่า ตนเองนั้นพ่ายแพ้และผิดหวัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ และเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ 2. เป็นตัวอย่าง รับมือกับความผิดหวังให้ลูกได้เห็น คุณพ่อคุณแม่คือแบบอย่างของลูกในทุกเรื่อง หากคุณต้องการให้ลูกรับมือกับความผิดหวังได้ดี คุณต้องเป็นแบบอย่างในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเมื่อผิดหวังนั้นให้ดีให้ลูกเห็น ลูกจะค่อยๆซึมซับยอมรับและเข้าใจได้ว่า ความผิดหวังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน 3. สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเอง ในหนึ่งวัน เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่หลากหลาย มีทั้งอารมณ์ดี  เศร้าเสียใจ  หรือในบางครั้งพบเจอกับสถานการณ์ที่ผิดหวัง ดังนั้นคุณควรฝึกให้ลูกรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง แล้วสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ในทุกการแข่งขัน ย่อมจะต้องผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างนี้ อาจมีบางสถานการณ์ที่ลูกรู้สึกท้อแท้ สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเองยอมรับในความท้อแท้การจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เช่น นั่งพักก่อนแล้วค่อยฝึกซ้อมต่อ หรือหาอะไรอร่อยๆทานก่อนแล้วค่อยมาลุยกันใหม่ เป็นต้น  4. สอนให้เขาแสดงออกอย่างเหมาะสม นอกจากลูกจะต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง จะต้องสามารถแสดงพฤติกรรมออกมาได้อย่างเหมาะสม  โดยเฉพาะอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่ซับซ้อน […]

5 เคล็ดลับ การปฏิบัติตัวและวิธีการแก้ไขปัญหาลูกติดแม่มากเกิน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ลูกติดแม่มากเกินไป เป็นปัญหาที่ทุกบ้านจะต้องประสบพบเจอกันอย่างแน่นอน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กทารกจะมีความสามารถพิเศษในการจดจำกลิ่นจะสามารถจำสัมผัสของคุณแม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกอบอุ่นและเชื่อจะให้ว่าตัวเองจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับกลิ่นที่คุ้นเคย หรือสัมผัสที่อบอุ่นนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ลูกมักจะติดแม่ตลอดเวลา  แต่หากสำหรับบ้านไหนกำลังประสบกับปัญหาลูกติดแม่มากจนเกินไป ไม่สามารถปลีกตัวไปทำอะไรได้เลย วันนี้เรามีเคล็ดลับในการปฏิบัติตัวและแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างและติดตามกันเลย 1. สร้างความคุ้นเคยให้ลูก วิธีนี้มีประโยชน์อย่างมาก และสามารถปฏิบัติตามได้อย่างง่ายดาย เพียงคุณเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้เวลาอยู่กับบุคคลในบ้านมากยิ่งขึ้น การสร้างความคุ้นเคยนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องอยู่กับบุคคลอื่นในบ้านที่ไม่ใช่แม่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีเวลาเลี้ยงดูลูกเพิ่มมากขึ้น หากมีโอกาสให้พาไปใช้เวลาอยู่กับคนในครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น จะทำให้เขารู้สึกสนิทมีความเชื่อใจ และไว้ใจคนเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น 2. ไม่โกหกลูก คุณพ่อคุณมากที่ประสบกับปัญหาลูกติดงอมแงมอาจจะเลือกใช้วิธีการหลบหลีกหรือแอบรูปออกจากบ้านตอนที่ลูกนอนหลับหรือขอตัวเพื่อตัดปัญหาอาการงอแงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่วิธีเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกโดยตรง การที่คุณพ่อคุณแม่ออกจากบ้านโดยที่ลูกไม่รู้ตัวจะทำให้ลูกรู้สึกหวาดกลัว มีอาการเศร้าเสียใจ แล้วกลัวการพลัดพรากมายิ่งขึ้น ดังนั้นหากคุณมีความจำเป็นที่จะต้องจากบ้าน ควรบอกกับลูกโดยตรงว่าต่อไปจะกลับเมื่อไหร่ ซึ่งมีข้อแม้ว่าคุณจะต้องรักษาสัญญาและห้ามโกหก ลูกจากค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และเข้าใจยอมรับได้มากยิ่งขึ้นว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หายไหน 3. พาลูกออกไปเล่นกับเพื่อน การที่คุณพ่อคุณแม่ลูกไปเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกันจะมีประโยชน์อย่างมาก นอกจากจะช่วยให้เขามีสังคมใหม่ๆแล้ว จะทำให้เขาได้เจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆและตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดอาการติดแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้เขามีพัฒนาการและมีทักษะทางด้านสังคมได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 4. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันกับลูก ข้อนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การที่ลูกติดแม่เป็นพิเศษนั้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความรู้สึกลึกๆที่ลูกรู้สึกว่าไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ เช่นคุณแม่จะต้องทำงานตลอดทั้งวัน จนไม่มีเวลามาเล่นกับลูก ถึงแม้แต่ที่เด็กจะพยายามเข้าหาและอยากใกล้ชิดกับคุณแม่ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นให้คุณแม่พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหนคุณจะต้องจัดสรรเวลาให้มีช่วง เวลาคุณภาพ กับลูกอยู่เสมอ ชวนลูกเล่นอย่างสร้างสรรค์ หรือใช้เวลาพูดคุยกันสนุกสนานโดยปราศจากสิ่งรบกวน อย่างน้อยวันละ 30 […]

ระวัง!! โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก (SMA) ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กเป็นอีกโรคหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม และเป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องทำความเข้าใจและยอมรับให้ได้ ซึ่งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กนั้นจะแตกต่างจากในผู้ใหญ่และสามารถพบได้มากเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากโรคธาลัสซีเมียเลย อาการของโรคก็ค่อนข้างรุนแรง อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย เพราะระบบภายในร่างกาย ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่ลูกน้อยกำลังประสบกับโรค SMA อยู่ ก็สามารถที่จะเรียนรู้และดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีได้ดังนี้ 1. อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก (SMA) ส่วนมากสาเหตุมักมาจากความผิดปกติของพันธุกรรมในยีนด้อย ซึ่งอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงน้ำจะส่งผลให้ลูกน้อยมีมวลกระดูกและกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เด็กสูญเสียการควบคุมของกล้ามเนื้อต่างๆไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร รวมไปถึงมีความผิดปกติต่อการส่งคำสั่งจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อ โดยลูกไม่สามารถกินอาหารได้เอง มีกล้ามเนื้อที่ลีบแบน และมักเกิดอาการแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจ รวมถึงสูญเสียการควบคุมศีรษะและลำคอด้วย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลรักษาลูกน้อยอย่างถูกวิธี 2. ประเภทของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 อาการรุนแรงที่สุด เด็กสามารถเสียชีวิตได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 เดือนเลยทีเดียวเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจล้มเหลว  ซึ่งต้องพึ่งพา เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา ระยะเวลาเฉลี่ยของเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ได้ประมาณ 1 ปี แบบที่ 2 คืออาการรุนแรงน้อยกว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงอายุ 6-12 เดือน ซึ่งเด็กไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยังต้องพึ่งพารถเข็นหรืออาจจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปตลอดก็เป็นได้ แบบที่ 3 คืออาการหลังช่วงอายุ 1 ปีครึ่งเป็นต้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแอของร่างกายสูงมีการเหนื่อยหอบง่าย […]

ทำความรู้จักกับผื่นบนตัวลูกน้อย และการรับมืออย่างถูกวิธี

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจกำลังประสบกับปัญหาผื่นภูมิแพ้ที่ขึ้นบนตัวลูก ซึ่งหลายคนกังวลใจไม่ใช่น้อยว่าจะเกิดอันตรายกับลูกหรือไม่ ซึ่งเรื่องของผิวหนังนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้ามแต่ที่จริงแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และมีความสำคัญอย่างมาก เพราะผิวหนังเปรียบเสมือนด่านปราการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังของลูกเกิดการอักเสบหรือมีผื่นภูมิแพ้เกิดขึ้น แสดงว่า นี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่างก็เป็นได้ โดยเฉพาะเรื่องผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะเกิดและพบบ่อยมากในเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความรู้จักและรู้วิธีการป้องกันรวมถึงวิธีการดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง  1. อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ การเกิดผื่นแพ้บนผิวหนังเกิดจากการอักเสบของผิวหนังเรื้อรังที่เป็นเป็นหายหายสามารถพบได้บ่อยมากในเด็กเล็ก โดยคุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ว่าผื่นขึ้นตามตัวหรือบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยการวินิจฉัยโรคผื่นภูมิแพ้นั้นจะสังเกตจากลักษณะของพื้นที่เกิดขึ้นและตำแหน่งที่เกิดขึ้นเป็นหลัก โดยพื้นที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า eczema  เป็นผื่นที่มีลักษณะตุ่มแดง เป็นขุย มีตุ่มน้ำขนาดเล็กอยู่ด้านบน และค่อนข้างที่จะคันมาก ทำให้ เด็กนั้นรู้สึกไม่สบายตัว มีอาการร้องไห้งอแง 2. ตำแหน่งของผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุคือในเด็กเล็กอายุ 2 เดือน – 2 ปี มักจะพบผื่นที่บริเวณแก้ม หรือรอบริมฝีปาก รวมถึงอาจเกิดขึ้นที่ด้านนอกแขนขาหรือข้อศอกได้ ในขณะเดียวกันเด็กโตและผู้ใหญ่สามารถพบผื่นลักษณะนี้ในบริเวณข้อพับแขน ขา ข้อ รวมถึงข้อมือ เป็นต้น 3. สาเหตุของโรค ลักษณะผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีสาเหตุหลักๆมาจากความบกพร่องของการสร้างเซลล์ผิว เมื่อผิวหนังมีโครงสร้างที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้บ่อย ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคภูมิแพ้ผิวหนังนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะมีหลายปัจจัยมากที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตอาการของลูก และ คอยเฝ้าสังเกตปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดผื่นในลักษณะนี้เกิดขึ้น  แต่สามารถระบุปัจจัยหลักได้ 2 สาเหตุคือปัจจัยภายใน  ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ทำให้โครงสร้างของเซลล์ผิวหนังนั้นผิดปกติ […]

ทำความรู้จักกับประเภทของเด็กในแต่ละรูปแบบ เพื่อส่งเสริมและผลักดันเขาได้อย่างถูกต้อง

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กในปัจจุบันนี้มีบุคลิกภาพที่แตกต่างระหว่างมาก ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยทำให้หล่อหลอมเด็กแต่ละคนขึ้นมาในรูปแบบที่แตกต่างกันหาคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตพฤติกรรมของเด็กดีๆจากเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนนะมีความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ความสามารถพิเศษที่แตกต่างกัน รวมไปถึงลักษณะอารมณ์นิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูเขาเหล่านั้นด้วยวิธีเดียวกันได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องศึกษาลักษณะบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปเพื่อที่จะได้ดูแลเอาใจใส่ลูกได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับเด็กในแต่ละรูปแบบนั้นเอง จะมีรูปแบบใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. รูปแบบที่ 1 เด็กร่าเริงแจ่มใส หากลูกของคุณพ่อคุณแม่มีลักษณะนิสัยแบบนี้ถือว่าโชคดีอย่างมาก เด็กที่ร่าเริงแจ่มใสจะสามารถสังเกตได้ง่าย คาดเดาไม่ยาก เขาจะเป็นเด็กที่มีความเป็นมิตรสูง เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นชอบที่จะพบปะและเข้าสังคมกับเด็กคนอื่น และจะตื่นเต้นอย่างมากเมื่อจะได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านหรือไปพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ชื่นชอบการเล่นสนุกสนาน แต่ถึงจะเป็นเด็กที่ร่าเริงบางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ การดูแลเด็กประเภทนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเซอร์ไพรส์เด็กอยู่เสมอ พยายามหากิจกรรมกระตุ้นความสัมพันธ์ให้มาก เพราะเขาจะชื่นชอบและสนุกกับกิจกรรมต่างๆเหล่านั้น อีกทั้งการได้ทำกิจกรรมร่วมกันยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว  2. รูปแบบที่ 2 เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหว เด็กประเภทนี้นั้นมักมีจิตใจที่อ่อนโยน เป็นคนใจดีขี้สงสารและเอาใจใส่คนรอบข้างเป็นอย่างมาก เด็กประเภทนี้นั้นมักจะแสดงอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบออกมาได้อย่างชัดเจนทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ง่าย การดูแลเด็กประเภทนี้จะต้องใช้ความเอาใจใส่อย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือคนรอบตัวแต่ต้องเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับเขาอยู่เสมอ จะช่วยให้เขารู้สึกของใคร และเกิดความไว้วางใจยอมเล่าเรื่องราวต่างๆที่อยู่ภายในใจให้ฟังได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 3. รูปแบบที่ 3 เด็กที่มีความมุ่งมั่น เด็กในรูปแบบนี้จะเป็นเด็กที่มีพลังและมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ชื่นชอบอย่างมากในการทำกิจกรรมต่างๆเพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เขาจะรู้สึกมีความสุขมากค่ะได้แสดงพลังและความสามารถที่ตัวเองมีออกมาให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ การดูแลเด็กประเภทนี้พ่อแม่จะต้องช่างสังเกตและสนใจเขาให้มาก คอยอยู่เบื้องหลังสนับสนุนและผลักดันให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับทุกเรื่อง มีความเชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่เขาชอบได้อย่างเต็มที่ คอยเชียร์เมื่อเขาออกไปผจญภัยพบเจอกับเรื่องท้าทายใหม่ๆจะทำให้ลูกนั้นได้รับประสบการณ์ใหม่ๆและเรียนรู้กับโลกภายนอกได้อย่างเต็มที่และมีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 4. รูปแบบที่ 4  เด็กที่จริงจัง เด็กในรูปแบบนี้นั้นจะเป็นคนช่างคิดวิเคราะห์ มีกระบวนการความคิดที่เหมือนผู้ใหญ่ เป็นเด็กที่ช่างสังเกต ชื่นชอบอย่างมากหากได้ทำกิจกรรมที่ชอบใช้ความคิด ร้านเด็กประเภทนี้จะต้องการการยอมรับจากผู้อื่นสูง […]

คุณแม่ห้ามพลาด!! วิธีรับมือกับลูกที่แพ้แป้งสาลี 

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

อาการแพ้อาหารของลูกนั้นถือเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมากเลยทีเดียว เชื่อว่าแม่หลายคนกำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้ ลูกมีอาการแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับคนเป็นแม่ ซึ่งอาการแพ้อาหารเหล่านั้น อาจเกิดจากการแพ้อาหารบางอย่างที่เราไม่ทันได้รับเช่น อาการแพ้นม แพ้ถั่ว แพ้ไข่ และยิ่งถ้าหนักไปกว่านั้นคือกันแพ้แป้งสาลีที่สามารถพบได้ทั่วไปในอาหารแทบจะทุกชนิด โดยแป้งสาลีนั้นเป็นอีกหนึ่งสารอาหารหลักที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและพัฒนาระบบสมองของลูกน้อย หากคุณแม่สงสัยหรือพบว่าลูกมีอาการแพ้แป้งสาลี ให้รีบงดอาหารประเภทเหล่านี้โดยเด็ดขาดและพบแพทย์ผู้เชี่ยววชาญโดยด่วน  แต่เราจะทราบได้เรานั้นมีอาการแพ้แป้งสาลี วันนี้เรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวข้องกับการแพ้แป้งสาลี มาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้แป้งสาลี สาเหตุของการแพ้แป้งสาลี หรือรวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี จะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. อาการ ของการแพ้แป้งสาลี คุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกน้อยนั้นมีอาการแพ้แป้งสาลีหรือไม่ให้สังเกตลักษณะพื้นที่ผิวหนัง จะเป็นผื่นแดงคันคล้ายๆกับลมพิษ มีอาการหน้าบวมตาบวม ริมฝีปากบวม รวมไปถึงมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอ จาม หรือเด็กบางรายที่มีอาการแพ้รุนแรงอาจอักเสบไปถึงปอดนำไปสู่อาการหลอดลมตีบแบบเฉียบพลันได้ นอกจากนี้การแพ้แป้งสาลียังมีผลกระทบต่อทางเดินอาหาร เช่นมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย และส่งผลต่อระบบประสาทกับระบบหัวใจ มีอาการเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ  มึนงง อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ 2. สาเหตุของอาการแพ้แป้งสาลี มีผลมาจากพันธุกรรมของคุณพ่อคุณแม่ที่มีอาการแพ้อาหาร ผสมผสานกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของลูกที่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทานอาหารเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ ช่วงอายุก็มีผล เด็กอาจจะยังเล็กเกินกว่าที่กระเพาะจะสามารถรับอาหารจำพวกแป้งได้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่รอบๆตัวและมีการเปลี่ยนแปลงไปซึ่งก็อาจจะมีผลต่ออาการแพ้นั้นได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงหมั่นสังเกต ว่าลูกนั้นมีอาการผิดปกติในช่วงเวลาใด เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 3. วิธีการป้องกันการแพ้แป้งสาลี […]

8 กิจกรรมก่อนนอน ช่วยให้ลูกน้อยหลับง่ายยิ่งขึ้น

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การพาลูกเข้านอน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหินอีกหนึ่งกิจกรรมของคุณพ่อคุณแม่เลยก็ว่าได้ เพราะเด็กบางคนนั้นไม่ได้ชอบเข้านอนง่ายๆ จะต้องคอยหาตัวหลอกล่อให้เข้านอน กว่าจะทำให้หลับได้ ผ่านไปหลายชั่วโมงกันเลยทีเดียว สำหรับบ้านไหนที่กำลังประสบกับปัญหาพาลูกเข้านอนยากอยู่นั้น วันนี้เรามีเคล็ดลับในการพาลูกเข้านอนเลยได้ลูกได้อย่างไรส่งผลต่อการหลั่ง Growth Hormone ได้มากยิ่งขึ้น  ทำให้ลูกเจริญเติบโตสมวัย และมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เขายังช่วยส่งเสริมเรื่องของความจำและการเรียนรู้ของสมองของลูกได้เป็นอย่างดีด้วย จะมีวิธีใดบ้างในประเด็นต่างกันเลย 1. จัดตารางรูปแบบกิจกรรมประจำวันให้เป็นเวลามากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกนิสัยให้ลูกเข้านอนอย่างตรงเวลา พยายามปลูกฝังให้ลูกสามารถแยกแยะความมืดหรือความสว่างได้ ถ้าหากลูกแยกแยะเวลากลางวันกับกลางคืนได้ลูกจะค่อยๆซึมซับ เมื่อเขาอยู่ในห้องที่มืดเขาจะรู้ว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนนอนหลับ 2. แปรงฟันก่อนเข้านอน ปลูกฝังให้เป็นนิสัยว่าก่อนเข้านอนเราจะต้องแปรงฟันกันนะ เมื่อเราสร้างกิจวัตรประจำวันให้ลูกแล้วลูกจะเริ่มรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่ต้องแปรงฟันนั้น จะใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเข้านอนแล้ว ร่างกายและอารมณ์เขาจะค่อยๆปรับตัวพร้อมที่จะได้รับการพักผ่อนนั้นเอง 3. สวดมนต์ก่อนนอน หากคุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ลูกสวดมนต์ก่อนนอนได้นั้นจะมีประโยชน์อย่างมากช่วยให้เขาเป็นเด็กที่มีจิตใจสงบ มีสมาธิดี นอกจากนี้การสวดมนต์ก่อนนอนอย่างทำให้ลูกสามารถนอนหลับได้สนิทและยาวนานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงช่วยให้เขามีพัฒนาการเจริญเติบโตที่ฉลาดสมวัย พร้อมเรียนรู้ในเช้าวันใหม่มากยิ่งขึ้น 4. นอนคุยกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ลูกนั้นยอมเข้านอนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น การชวนลูกคุยก่อนเข้านอนจะช่วยให้เขามีโอกาสได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้รับรู้ ซึ่งมีประโยชน์ที่จะช่วยให้ลูกปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นภายในใจ การทำเช่นนี้จะช่วยทำให้ลูกนั้นสนิทกับเรามากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย  5. หากิจกรรมให้ลูกเล่นในระหว่างวัน กิจกรรม Adventure  ที่ลูกจะสามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ เช่นการว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน วิ่งเล่น  เมื่อโลกปลดปล่อยพลังเต็มที่ในระหว่างวันไปแล้วจะทำให้เขารู้สึกเพลียและอยากจะพักผ่อนมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาหลับง่ายและหลับสนิทมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 6. ดูแลลูกให้สบายตัว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ลูกนั้นนอนหลับได้ง่ายไม่กระวนกระวายใจ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าหรือชุดนอนที่ใส่สบายสามารถระบายอากาศได้ดี […]