5  Eye cream แนะนำสำหรับคุณแม่ เพื่อลดปัญหารอยคล้ำใต้ตาอย่างมีประสิทธิภาพ

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

Eye cream เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวรอบดวงตาให้กลับมาดูสดใส อ่อนกว่าวัยอีกครั้ง โดยเฉพาะคุณแม่หลังคลอดที่มีเวลาพักผ่อนน้อย ผิวหน้าโทรมขาดการดูแล ครีมบำรุงผิวรอบดวงตานี้จะช่วยให้ดวงหน้าและใบหน้าของคุณดูอ่อนกว่าวัย โดยเฉพาะ Eye cream ของญี่ปุ่น ที่มีส่วนผสมตรงเข้าฟื้นบำรุง และให้ความชุ่มชื้นรอบดวงตา ให้การแต่งหน้านั้นเรียบเนียน ไม่ตกร่อง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นและปรับการไหลเวียนของโลหิตรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมียี่ห้อใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. Meishoku PlaceWhiter Medical Whitening Eye Cream ความโดดเด่นของครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้คือจะมีเนื้อครีมที่นุ่มสามารถเกลี่ยได้ง่าย และล็อคความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างยาวนาน มีคุณสมบัติช่วยลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยได้เป็นอย่าง ที่สำคัญมีสารสกัดจากธรรมชาติให้ความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับผิวรอบดวงตาของคุณอย่างแน่นอน โดยทางแบรนด์ได้เคลมไว้ว่าจะช่วยให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นขึ้น 97% ภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่พักผ่อนน้อย ดวงตาล้า หรือมีรอยคล้ำใต้ตา ทีมนี้จะมีส่วนผสมจากรกแกะที่มีประสิทธิภาพช่วยเข้าไปยับยั้งการผลิตเมลานิน ให้ผิวบริเวณใต้ขอบตานั้นกระจ่างใสมากขึ้นอีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวรอบดวงตากระชับมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย  2. Curel Intensive Moisture CARE Moisture Repair Eye Cream ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้ออกแบบมาเพื่อคนที่ผิวแห้งและผิวบอบบางโดยเฉพาะ ความโดดเด่นของแบรนด์นี้คือจะมีสารสกัดจากยูคาลิปตัส ที่มีสารอัลลันโทอิน มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้ มีความอ่อนโยนปราศจากสารอันตรายทุกชนิด […]

 5 ข้อควรระวัง ของการใช้เทคโนโลยีที่มากจนเกินไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อย 

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของลูกน้อยมากยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญตรงจุดนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกได้โดยตรง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรตระหนักรู้ถึงโทษที่มาจากการใช้เทคโนโลยีมากจนเกินไป ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม ถ้าหากรู้จักใช้ก็จะสามารถมอบคุณประโยชน์ได้มากมาย แต่ถ้าหากใช้มากจนเกินความจำเป็น อาจจะส่งผลเสียตามมาในอนาคตได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมอันตรายที่มาจากการใช้เทคโนโลยีมากจนเกินไปมาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน มีผลกระทบ ต่อลูกน้อยอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคม เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของลูกน้อยมากจนเกินไปสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ชัดเลยคือลูกจะอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ กิจกรรมส่วนใหญ่ของลูกจะอยู่ภายในมือถือไม่ว่าจะเป็นการดูการ์ตูน การเล่นเกม การดู YouTube  การฟังเพลง เป็นต้น จึงทำให้ลูกนั้นขาดโอกาสในการเข้าสังคม และไม่มีทักษะทางด้านการเข้าหาผู้คนได้มากเท่าที่ควร จึงอาจส่งผลกระทบให้ลูกน้อยนั้นปรับตัวเข้าหาคนได้ยาก ซึ่งทักษะเหล่านี้ถือว่าสำคัญและจำเป็นในการดำเนินชีวิตในอนาคตอย่างมาก โดยจากการวิจัยแล้วพบว่า หากลูกน้อยใช้สมาร์ทโฟนมากกว่า 82%  ส่วนใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อการสนทนาในชีวิตประจำวัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีหรือโทรศัพท์มือถือของโลกให้มากยิ่งขึ้น 2. กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ซึ่งถ้าหากในแต่ละวันลูกจับจ้องอยู่แต่กับสมาร์ทโฟนมากจนเกินไปวันละหลายชั่วโมง จะทำให้เขามีพัฒนาการทางสมองที่ลดน้อยลง เป็นเด็กที่สมาธิสั้น ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหาเหล่านี้แล้วจะทำให้แก้ไขได้ยากขึ้น จะทำให้เด็กเสียโอกาสการเรียนรู้เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกในวัยก่อน 2 ขวบ ไม่ควรดูโทรศัพท์มือถือหน้าจอทีวี เพราะภาพนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อเด็กจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีจะทำให้เขามีปัญหาทางด้านสมอง ส่งผลต่อความจำลดน้อยลง และที่สำคัญจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากขึ้นอีกด้วย 3. ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ การที่เด็กมีบุคลิกภาพที่ดีนั้นจะส่งผลในเรื่องของการสร้างความมั่นใจได้มากยิ่ง แต่ถ้าหากเลือกใช้เทคโนโลยีหรือสมาร์ทโฟนมากจนเกินไปจะทำให้ลูกนั้นหนูเป็นเด็กที่ไหล่ตก หรือในบางรายอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อกระดูกสันหลังคดงอหรือเปลี่ยนรูปไปได้ ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของสุขภาพกล้ามเนื้ออักเสบในอนาคตต่อไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องกำหนดเวลาการใช้สมาร์ทโฟนหรือการใช้เทคโนโลยีในเวลาที่จำกัด เพื่อให้ลูกได้พักสายตาและได้ปรับบุคลิกภาพให้อยู่ในท่วงท่าที่เหมาะสมนั้นเอง 4. โทรศัพท์มือถือสกปรก อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของลูกได้โดยตรง […]

 4 เคล็ดลับ ในการควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ ให้มีความคิดเชิงบวกเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การเลี้ยงลูกตลอดเวลา 24 ชั่วโมงของคุณแม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว  เพราะในแต่ละวันนั้นคุณแม่จะต้องพบเจอกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ซ้ำกันเลย จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องมีความอ่อนโยน ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้คิดบวกที่สุด เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูก ยิ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เจอลูกที่ดื้อ และไม่ยอมฟังเหตุผลนั้น จะยิ่งทำให้การควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ทำได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่ทางด้านจิตวิทยาแล้ว การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้คิดบวกตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางครั้งคุณอาจจะเผลอระเบิดอารมณ์ใส่ลูก ซึ่งก็ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของลูกอีก ดังนั้นปัญหาทางด้านของอารมณ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ ให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากกัน จะมีข้อปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. บอกรักตัวเอง การกอดหรือการบอกแล้วตัวเองนั้น ถือเป็นการแสดงความรักและการให้กำลังใจที่ดีที่สุดที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวัง หรือมีอารมณ์น้อยใจเกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยงลูก ให้คุณกอดลูกให้แน่น พร้อมทั้งบอกรักตัวเองและให้กำลังใจตัวเองว่าคุณสามารถทำได้ และคุณทำดีที่สุดแล้ว 2. ไม่คาดหวังในตัวลูก หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกเครียดแล้วเป็นกังวลกับการคาดหวังในตัวลูกมากจนเกินไป จนอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอาจทำให้คุณนั้นมีภาวะเครียดสะสม เกิดปัญหาจิตตก แอบโมโหหงุดหงิดง่ายเมื่อพบว่าไม่เป็นไปดั่งที่ใจต้องการนั่นเอง ดังนั้นคุณควรรู้สึกปล่อยวางและเชื่อมั่นในตัวลูกว่าเขาสามารถทำได้ จากงานวิจัยแล้วพบว่าการเลี้ยงลูกอย่างอิสระนั้นจะทำให้เขาเกิดความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการที่สูงกว่าเราไปกำหนดขอบเขตของลูก ช่วยให้เขาคิดเป็น และมีพัฒนาการพึ่งตัวเองได้ดี ดังนั้นหากคุณปล่อยวาง ทำให้การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้ง่ายยิ่งขึ้น แถมยังมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย 3. เลี้ยงลูกอย่างมีสติ ทุกครั้งที่คุณอยู่กับลูกคุณจะต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องมีความอดทนอดกลั้นถึงแม้ว่าลูกนั้นจะดื้อรั้นหรือทำในสิ่งที่คุณหงุดหงิดก็ตาม ไปคณปรับอารมณ์และปรับทัศนคติว่า ยิงลูกดื้อซน จะทำให้เขามีประสบการณ์การเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอยู่ในกรอบ ไม่ก้าวร้าวจนเกินไป หากคุณมีสติอยู่ตลอดเวลาทำทุกอย่างให้ช้าลงจะช่วยให้คุณนั้น สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เลี้ยงลูกในเชิงบวกได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง […]

7 เคล็ดลับ ช่วยให้ลูกเลิกแพมเพิสได้ง่ายยิ่งขึ้นและเห็นผลไว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก ในการฝึกลูกเลิกแพมเพิส โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจะฝึกให้ลูกเลิกแพมเพิสให้ได้ก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเชื่อว่าปัญหานี้เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองหลายท่านกำลังเป็นกังวลใจ การฝึกลูกเลิกแพมเพิสนอกจากจะมีประโยชน์กับตัวเด็กเองแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มากเลยทีเดียว วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับด้วยการเลิกแพมเพิสให้กับลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฝึกตามได้ง่าย จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. เลิกตามความพร้อมของเด็ก ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะฝึกให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส ต้องคำนึงถึงความพร้อมของลูกเป็นอันดับแรก ซึ่งลูกจะต้องเข้าใจความหมายในสิ่งที่เราสื่อก่อน ถึงจะทำให้เราสื่อสารกันรู้เรื่อง และปฏิบัติตามได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยระยะแรก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกเลิกแพมเพิสในช่วงเวลากลางวัน เพราะจะช่วยให้สังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกได้ง่ายและรวดเร็วกว่าในเวลากลางคืนนั่นเอง ซึ่งช่วงวัยที่เหมาะสม คือช่วงวัยประมาณ 3 ขวบครึ่ง 2. สอนให้ลูกเข้าใจการขับถ่าย ก่อนที่เราจะฝึกให้ลูกเลิกแพมเพิสนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกทำความเข้าใจกับ อึ ฉี่ ให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น เวลาที่ลูกปวดจะได้มีการสื่อสารหรือบอกกล่าวกับเราให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง 3. ฝึกในช่วงเวลากลางวัน โดยระหว่างการฝึกนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใส่กางเกงซับในหรือกางเกงผ้าอ้อม  โดยการฝึกเลิกแพมเพิสในช่วงเวลากลางวัน จะทำให้เราฝึกเด็กได้อย่างเต็มที่ แต่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีความอดทนเพราะจะต้องคอยเช็ด อึ เช็ดฉี่ ของลูกตลอดเวลา จนกว่าลูกจะสามารถปรับตัวและควบคุมการขับถ่ายได้เอง 4. หมั่นสังเกต ให้คุณพ่อคุณแม่คอยสอบถามและสังเกตอาการของลูก ว่ามีพฤติกรรมหรือมีอาการปวดฉี่หรือปวดท้องจะถ่ายหรือไม่ โดยระยะเวลาที่เหมาะสมคือควรหมั่นสังเกตทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งในเด็กบางคนอาจจะเล่นจนเพลิน และเผลออั้นฉี่ไว้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องหมั่นสังเกตอย่างใกล้ชิด 5. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม […]

5 วิธี ในการเตรียมความพร้อม เมื่อลูกถึงวัยต้องเข้าโรงเรียน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน ลูกน้อยเริ่มมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความคิด มีลักษณะนิสัยเฉพาะของตัวเอง หรือเรียกง่ายๆว่ามีความเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคุณพ่อคุณแม่จะต้องมีการปรับตัว และยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการเรียนรู้ก้าวแรกของลูกนั้นคือการไปโรงเรียน มีสังคมที่โรงเรียน ไปแลกเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้และเติบโตได้มากยิ่งขึ้น ก้าวแรกของชีวิตลูกนั้นสำคัญ คุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมความพร้อมให้กับลูกซึ่งแน่นอนว่า การออกจากบ้านที่อบอุ่น ออกจากอกของพ่อแม่ไปพบเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย ไปพบเจอกับคนแปลกหน้าอาจทำให้เกิดการวิตกกังวลและเกิดการต่อต้านขึ้นได้ วันนี้เราจึงมีวิธีในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนเข้าโรงเรียนมาฝากกัน จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เตรียมความพร้อมให้กับลูก ด้วยการอ่านนิทานก่อนนอน ถึงแม้ว่าร่างกายและจิตใจของลูกนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลง แต่ทุกการเติบโตย่อมมีก้าวแรกเสมอ  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยปรับทัศนคติ ช่วยบรรเทาความกลัวและคลายความกังวลให้กับลูก ให้ลูกเตรียมพร้อมรับกับสภาพแวดล้อมหรือสังคมใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต การอ่านนิทานก่อนนอนก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะให้ลูกนั้นได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนจะช่วยให้ลูกและมีประสบการณ์ร่วมได้ เด็กนั้นจะสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในนิทานได้ ซึ่งแนะนำให้เรื่องนิทานที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน เพื่อให้ลูกนั้นได้คุ้นชินและไม่กลัวการไปโรงเรียน วิธีนี้จะทำให้ลูกนั้นสามารถปรับตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น 2. ร้องไห้ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อถึงวันแรกที่ลูกต้องเข้าโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการปรับตัวทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย พี่อาจจะใจหายและมีความรู้สึกกลัว กังวล ซึ่งสภาพจิตใจของเด็กแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เด็กบางคนสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในขณะที่เด็กหลายๆคนนั้นไม่คุ้นชินกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่แปลกตา จึงทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วไม่อบอุ่นเท่าที่บ้าน ลูกอาจจะแสดงความกลัวออกมา ด้วยการร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป ปล่อยให้ลูกได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาทั้งหมด เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่คอยปลอบและจับมือเขาอย่างอ่อนโยน การสวมกอดหรือการหอมแก้มจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่น รู้สึกไม่โดดเดี่ยว และจะสร้างความมั่นใจว่าการไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ลูกจะได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆทั้ง คุณครู และเพื่อนๆที่โรงเรียน  3. ยิ้มแย้มแจ่มใส […]

5 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นเด็กกล้าแสดงออก

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เมื่อพูดถึงเรื่องของการกล้าแสดงออกแล้วล่ะก็ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องพยายามฝึกฝนลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งถือเป็นพรสวรรค์ เป็นบุคลิกภาพเฉพาะตัวที่ไม่สามารถเลียนแบบกันได้ เด็กที่มีความกล้าแสดงออกและมั่นใจในตัวเองนั้น จะทำให้ได้พบกับโอกาสใหม่ๆและได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ที่กว้างขวางมากกว่าผู้อื่น แต่การจะสร้างความมั่นในให้ลลูกเป็นเด็กกล้าแสดงออกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการฝึกลูกให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้นและกล้าที่จะแสดงออก แสดงความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. เตรียมความพร้อมก่อนลงสนาม ทักษะการกล้าแสดงออก และมีความมั่นใจในตัวเองนั้นเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ฝึกฝนกันได้ยากมาก คุณพ่อคุณแม่จะต้องเรียนรู้พฤติกรรม และดึงความเป็นตัวตนของลูกออกมาให้ได้ เพื่อให้ลูกได้ฝึกใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องไม่ควบคุมและไม่กำหนดบทบาทให้กับลูก เพราะจะทำให้เขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง 2. ให้ลูกได้พบกับความท้าทายด้วยตัวเอง วิธีนี้จะทำให้ลูกสามารถใช้ความคิดที่มี มาแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ลูกกล้าคิด กล้าแสดงออก เมื่อลูกมีอิสระทางความคิดจะทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรปล่อยให้ลูกได้เผชิญกับความท้าทายด้วยตนเองบ้าง 3. ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังหรือผิดพลาด จะทำให้ความมั่นใจในตัวเองนั้นลดน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะเป็นแรงผลักดันให้ลูก คอยให้กำลังใจ ช่วยให้ลูกเรียนรู้และมองเห็นประโยชน์ในข้อผิดพลาดเหล่านั้น และนำข้อเสียที่พบมาปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เมื่อมีคนเข้าใจและพร้อมให้กำลังใจเขาอยู่ข้างๆ เขาจะรู้สึกมั่นใจในตัวเองและกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น 4. ชื่นชมลูกเสมอ คำชมของคุณพ่อคุณแม่ เป็นแรงผลักดันที่ดีให้กับลูก แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ในความพยายามของลูก คุณควรชื่นชมลูกถึงแม้ลูกจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม คำชมของคุณพ่อคุณแม่จะทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เกิดความมั่นใจและกล้าที่จะแสดงออกมากยิ่งขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่อาจแสดงออกได้ทั้งทางกายและวาจา เช่น การกอด การหอม จะแสดงได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่คุณมีให้กับลูก ดังนั้นอย่าลืมที่จะชื่นชมลูกบ่อยๆ 5. […]

5 เคล็ดลับในการสอนลูกให้เป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น 

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

สำหรับเด็กในช่วงปฐมวัยแล้วจะเป็นอีกช่วงหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่นั้นอาจจะต้องปวดหัวและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงวัยนี้ลูกจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก จะมีพฤติกรรมที่ลอกเลียนแบบผู้อื่น และอีกหนึ่งพฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเป็นกังวลนั่นคือ การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยไม่มีความอ้อมอารีหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญในชีวิต ที่จะทำให้เด็กนั้นอยู่ร่วมกับสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากเด็กที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สามารถปรับตัวและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ จ้าสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย ซึ่งเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งที่รอบตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น เป็นที่รักของคนรอบข้างมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการสอนลูกให้เป็นคนที่มีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น จะมีวิธีการอบรมบ่มนิสัยลูกอย่างไรบ้าง นั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกช่วยเหลือผู้อื่นเป็น ถือเป็นวิธีการเริ่มต้นที่จะฝึกให้ลูกเน้นมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี ซึ่งสังคมในโรงเรียนนั้นลูกจะต้องพบเจอกับเพื่อนที่หลากหลายอารมณ์ หลากหลายนิสัย บางคนน้ำเป็นเด็กที่เรียบร้อย แต่ในขณะที่บางคนนั้นเป็นเด็กที่เกเรชอบแกล้งเพื่อน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสร้างจินตนาการให้กับลูก ว่าเมื่อตนเองถูกกลั่นแกล้งงั้นจะรู้สึกเช่นไร วิธีนี้จะช่วยให้ลูกตระหนักถึงการไม่แกล้งผู้อื่น และจะมีจิตใจที่ดีมากขึ้น รวมไปถึงเมื่อเจอสถานการณ์ที่เพื่อนถูกแกล้งลูกสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็น ซึ่งทักษะนี้หากปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็กลูกจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดี ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น 2. บอกรักลูกเสมอ เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายและทำได้ทันที การที่คุณพ่อคุณแม่บอกรักลูกอยู่เสมอจะทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกเป็นที่รัก เขาจะรู้สึกรักตัวเองมากยิ่งขึ้น ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตามเป็นต้นแบบ เขาจะรู้สึกถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นไปโดยอัตโนมัติ วิธีการบอกรักลูกอยู่เสมอและมีประโยชน์อย่างมากลูกจะรู้สึกเห็นคุณค่าของความรู้สึกผู้อื่นมากขึ้น  3. สอนลูกเข้าใจอารมณ์ของตนเอง พฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่นั้นมักจะแสดงออกมาจากความรู้สึกข้างใน ซึ่งบางครั้งเขาไม่ทราบว่าพฤติกรรมเหล่านี้นั้นไม่น่ารัก บางครั้งจึงเผลอแสดงความเกรี้ยวกราด ออกมาโดยไม่รู้ตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตนเองได้  ลูกโมโหหรือเกรี้ยวกราด ให้บอกถึงความรู้สึกเหล่านั้นให้ลูกได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์ดีใจ อารมณ์ตื่นเต้น อารมณ์มีความสุข การสอนให้ลูกรู้จักความรู้สึกเหล่านี้จะทำให้เขาเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเองได้มากยิ่งขึ้น เมื่อจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ […]

5 เคล็ดลับ ในการรับมือกับพฤติกรรมเกเรของลูกน้อย

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ก่อนอื่นเลยคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พฤติกรรมเกเรนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน โดยพฤติกรรมเหล่านี้นั้นมักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ของลูกในขณะนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นเมื่อเด็กมีอาการหิว ง่วงนอน เหนื่อย เรื่องเด็กแต่ละคนนั้นมีพื้นฐานลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องสังเกตพฤติกรรมของลูก เรียนรู้และเข้าใจ กับพฤติกรรมของลูกในขณะนั้น  รวมถึงสามารถอบรมสั่งสอนและปรับพฤติกรรมเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการรับมือกับพฤติกรรมเกเรของลูกมาฝากกัน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่กำลังหนักใจ และมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. ถามถึงเหตุผลกับลูกโดยตรง เป็นวิธีที่ควรปฏิบัติเป็นอันดับแรกโดยการพูดคุยกับลูกโดยตรง ว่าเขารู้สึกอย่างไร รวมถึงคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกเหตุผลและสะท้อนอารมณ์ของลูกให้ได้รับรู้ จะทำให้เขารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น เช่น ที่หนูกำลังโมโหอยู่นี่ หนูง่วงนอนใช่ไหม เป็นต้น หากคุณพ่อคุณแม่ทราบถึงสาเหตุแล้ว ให้อธิบายถึงพฤติกรรมเกเรที่ลูกได้แสดงออกมาสะท้อนให้ลูกได้รับรู้ จะทำให้ลูกยอมรับและเข้าใจมากยิ่งขึ้น 2. พ่อแม่ต้องใจเย็น เป็นวิธีที่ปฏิบัติตามได้ยาก แต่เป็นทักษะพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างให้กับเด็ก เพราะคุณจะเป็นต้นแบบให้กับลูก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หงุดหงิดอารมณ์เสีย ด้วยพฤติกรรมที่เกเรของลูก คุณพ่อคุณแม่จะต้องใจเย็น แล้วไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีตอบกลับให้ลูกได้เห็น ไม่ดุด่าว่ากล่าวโดยใช้อารมณ์ ไม่อาละวาดลูก ให้พูดคุยกับลูกด้วยเหตุผลและอธิบายให้ลูกเข้าใจอย่างใจเย็น และมีสติ จะทำให้ลูกค่อยๆซึมซับลักษณะนิสัยเหล่านี้ไปโดยอัตโนมัติ 3. สอนให้ลูกรู้จักขอบเขต ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง วิธีนี้จะช่วยให้ลูกมีวินัยมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบาย และตั้งกฎกติกา ภายในครอบครัว ที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันและอยู่ในขอบเขตที่กำหนด โดยต้องไม่ตึงและไม่ยืดหยุ่นจนเกินไป วิธีนี้จะช่วยปรับพฤติกรรมเกเรของลูกให้มีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น 4. ให้รางวัลลูก ถือเป็นกฎกติกาเล็กๆน้อยๆที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม […]

6 แนวทางในการเลี้ยงลูก ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมภายในครอบครัว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แล้วนั้น การเลี้ยงลูกถือเป็นเรื่องที่ใหม่อย่างมาก ซึ่งหลายคนคงเคยมีความกังวล ว่าการเลี้ยงลูกในทุกวันนี้ นั้นดีพอแล้วหรือยัง หรือสามารถที่จะส่งเสริมให้เขามีปัญหาการที่ดีได้มากกว่านี้ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลใจไปวันนี้เรามีแนวทางในการเลี้ยงลูก ให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และมีภูมิคุ้มกันทางด้านสังคมสูง ซึ่งแนวทางที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นสามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมได้กับทุกครอบครัว ถือเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่ลูกควรมี และเหมาะสมกับเด็กๆทุกคน  1. ให้ลูกมั่นใจในตัวเอง การเชื่อมั่นในตัวเองนั้นจะทำให้ลูกสามารถแสดงออกและแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ การสอนให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ด้วยการปล่อยให้ลูกได้ใช้ความคิดอย่างอิสระ รู้จักตัดสินใจด้วยตัวเอง ก่อนที่ให้ลูกเชื่อมั่นในตัวเองนั้น คุณแม่จะต้องเชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ 2. ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น จะลดศักยภาพในตัวลูกลงไปโดยไม่รู้ตัว จะทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดปมฝังใจให้กับเด็กได้อีกด้วย เช่น ทำไมลูกเขาไม่เห็นดื้อเลย เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างเลย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ควรปฏิบัติกับลูกอย่างเด็ดขาด เพราะเด็กแต่ละคนมีลักษณะนิสัยพื้นฐานไม่เหมือนกัน เราควรสนับสนุนในตัวเขามากกว่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเผยความสามารถของตัวเองออกมาได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 3. เด็กจะมีความเป็นตัวของตัวเอง โดยพื้นฐานแล้วคุณพ่อคุณแม่มักหวังดีกับลูกเสมอ จนบางครั้งมองข้ามความคิดหรือเหตุผลของลูกไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้ความหวังดี มาเป็นข้ออ้างให้ลูกทำตามความต้องการของตัวเอง ควรสนับสนุนให้มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง โจะทำให้เขาได้ใช้กระบวนการความคิดได้มากยิ่งขึ้น แล้วเมื่อลูกเติบโตขึ้นจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง  สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำนั้นคือการสนับสนุน ให้เขาทำในสิ่งที่ชอบ จะช่วยปลูกฝังทักษะในการดำเนินชีวิตที่สำคัญให้กับลูกได้อีกด้วย  4. เคารพในตัวตนของลูก เด็กชายเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่นั้นยอม รับในตัวตนของเขา  ซึ่งตัวตนของเด็กแต่ละคนนั้นมีความสามารถที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นในด้านความถัด ความสามารถเฉพาะตัว พรสวรรค์ที่ติดตัวมากับเด็ก รวมถึงรสนิยมในตัวลูก ซึ่งทั้งหมดนั้นหล่อหลอมมาเป็นตัวตนของเขา ดังนั้น […]

 5 พฤติกรรม เด็กต้องเรียนรู้และปรับตัวในยุคโรคระบาด Covid-19

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้ทั่วโลกนั้นได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค โควิด-19 ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของชีวิต มาทำให้การใช้ชีวิตในปัจจุบันนั้นได้ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ที่ขาดโอกาสเข้าสังคมกับเพื่อนๆ รวมไปถึงการออกไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เพราะว่าในกลุ่มเด็กเล็กนั้นถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเชื้อไวรัสชนิดนี้ เนื่องจากเด็กยังมีภูมิต้านทานน้อย จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลเขาเป็นพิเศษ โดยอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงพฤติกรรมที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุค New Normal นี้ เด็กๆจะต้องเรียนรู้และปรับตัวในด้านใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. Learn from home  หรือ การเรียนออนไลน์ นั่นเอง ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ที่ใช้ในรูปแบบของออนไลน์เข้ามารองรับกับสถานการณ์โรคระบาดโควิดนี้  เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะ สัมผัส หรือพูดคุยกันของเด็กๆ ลดการใช้ห้องเรียนเป็นเวลานาน จึงทำให้เด็กๆต้องมีความกระตือรือร้น ขยันหมั่นเพียรที่จะเรียนรู้ทางโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น สามารถแยกแยะและใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ได้ โดยเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องคอยกระตุ้น หรือ คอยสนับสนุนลูกอยู่ข้างๆเสมอ แล้วต้องคอยสังเกตพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ หรือ การท่องโลกอินเตอร์เน็ตของลูก เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางนั่นเอง 2. เด็กจะต้องรู้จักเว้นระยะทางสังคม การเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นอีกหนึ่งมาตรการของการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยเด็กจะต้องเข้าใจและเรียนรู้ว่า ต้องเว้นระยะห่างจากเพื่อน ลดการสัมผัส กับเพื่อน จะช่วยทำให้ตัวเองลดการติดเชื้อไวรัสนี้ได้ โดยคุณแม่อาจจะยกตัวอย่างให้ลูกมองเห็นภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การต่อแถวรอคิวเวลาซื้ออาหาร ให้เว้นระยะห่างจากเพื่อน เพื่อลดความแออัดในโรงอาหาร และเพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กๆเอง 3. เรียนรู้การสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าเรียน เด็กในยุคนี้ […]