6 เคล็ดลับ ในการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวให้มีความสุขที่สุด

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

วิธีรับมือกับการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว นั้นสำคัญมาก อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าหากคุณไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องของชีวิตคู่ ทำให้คุณต้องยิ่งรับมือกับการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมากขึ้น กับภาระที่คุณต้องแบกรับทั้งหมดนั้นหนักหนามากเลยทีเดียว จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องมีการวางแผนชีวิตต่อจากนี้ให้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเลี้ยงลูกนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับในการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงลูกอย่างไรให้คุณและลูกมีความสุขที่สุด จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. หาเวลาดูแลตัวเอง ก่อนที่คุณจะดูแลลูกได้อย่างดีนั้น ต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต เมื่อร่างกายของคุณแข็งแรงพร้อมที่จะเผชิญกับทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นและสามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ  2. หาที่ปรึกษาที่ดี แน่นอนว่าการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นคุณจะต้องรับมือกับทุกปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง การมีที่ปรึกษาที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถระบายความรู้สึก หรือขอคำแนะนำในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับคุณ จะยิ่งเข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น  การแชร์ประสบการณ์ต่างๆน้ำจะช่วยให้คุณรู้สึกดีและมีความสุขในการเลี้ยงลูกมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคุณจะมีกำลังใจขึ้นมากเลยทีเดียว 3. หารายได้พิเศษ ข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แต่ว่าการเลี้ยงลูกนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ยิ่งคุณเลี้ยงลูกคนเดียวแล้วเราก็ เรื่องค่าใช้จ่ายจะเข้ามารุมเร้าจนอาจทำให้คุณเกิดความเครียดขึ้นได้ ดังนั้นทางที่ดีคุณจึงควรหารายได้เสริม เพื่อใช้เงินตรงส่วนนั้นเป็นเงินเก็บไว้ยามฉุกเฉิน จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้มากยิ่งขึ้น 4. คุณต้องมีการวางแผนในชีวิต การเลี้ยงลูกเพียงลำพังนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ คุณต้องมีแผนสำรองหรือมีรายชื่อคนสนิทที่จะสามารถติดต่อยามต้องการขอความช่วยเหลือได้ในทันที นอกจากนี้การมองหาสถานที่เลี้ยงเด็กรายวันก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เมื่อยามที่คุณจะต้องไปทำธุระด่วน จะมีสถานที่ไว้คอยรองรับฝากลูกไว้ในยามคับขัน ถ้าคุณวางแผนเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินจะทำให้คนรู้สึกคลายความกังวลใจลงได้มากเลยทีเดียว 5. สร้างกิจวัตรประจำวันให้ลูก ถ้าลูกมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน มีกิจวัตรประจำวันทำตามกำหนดเวลาได้อย่างชัดเจนจะยิ่งทำให้คุณสามารถจัดสรรและควบคุมสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น สร้างเวลาในการตื่นนอนให้ลูกจนเป็นนิสัย เวลาในการทานอาหารแต่ละมื้อ หรือรวมไปถึงเวลาเข้านอน […]

9  กิจกรรมเสริมพัฒนาการ  ชวนลูกเล่นในยุคโควิด

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ชวนลูกเล่นในยุคโควิด ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ปกครองควรใส่ใจและให้ความสำคัญ  ถึงแม้ว่าลูกนั้นจะไม่สามารถออกไปเล่นนอกบ้านได้ แต่การเล่นก็ยังคงเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกได้ดีที่สุด  ดังนั้นแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่หากิจกรรมสันทนาการ มาช่วยกระตุ้นให้ลูกรู้สึกตื่นเต้นและแอคทีฟอยู่ตลอดเวลา  นอกจากจะช่วยให้เด็กๆสนุกสนานแก้เบื่อได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยพัฒนาทั้งระบบประสาท สมองรวมถึงร่างกายของลูกให้แข็งแรงสมวัยได้เป็นอย่างดีอีกด้วย วันนี้เราจึงรวบรวมกิจกรรมสร้างสรรค์เพิ่มความสนุกสนานให้กับเด็กๆมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. กิจกรรมพับกระดาษ  เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะกระตุ้นให้เด็กๆได้ใช้จินตนาการออกมาอย่างเต็มที่  การพับกระดาษนี้ลูกสามารถออกแบบได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การพับจรวด พับดาว พับนก พับเรือ เป็นต้น นอกจากลูกจะได้ฝึกฝนจินตนาการให้กว้างไกล ยังสามารถพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ให้แข็งแรงใช้ได้อีกด้วย 2. ชวนลูกเข้าครัวทำอาหาร อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการพาลูกเข้าครัว มีประโยชน์ครอบคลุมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฝึกพัฒนาระบบประสาทและสมอง ให้ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่  ลูกจะสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวมากยิ่งขึ้น  ช่วย ฝึกสมาธิ  รวมไปถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์กันภายในครอบครัวได้อีกด้วย  ที่สำคัญ ทักษะการเข้าครัวนี้จะช่วยให้ลูกประกอบอาหารทานเองได้หายห่วง 3. เล่านิทาน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถชวนลูกได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย  กิจกรรมนี้จะช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับลูกได้เป็นอย่างดี  เรื่องราวในนิทานจะช่วยให้เด็กๆสนุกและคิดตามตัวละครต่างๆ เกิดจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด  จากงานวิจัยพบว่า เด็กที่ฟังนิทานจากผู้ปกครองเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้ทางด้านภาษา การฟังและการสรุปความ ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ควรสนับสนุน  4. เปิดห้องคาราโอเกะ  เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะถูกใจเด็กๆอย่างแน่นอน เด็กในวัยนี้เขาจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับการเล่น การจัดคอนเสิร์ตภายในบ้านจะช่วยให้เด็กผ่อนคลาย และได้ระเบิดอารมณ์ออกมาทางเสียงเพลง […]

5 อันดับ ครีมลดเลือนริ้วรอยที่คุณแม่ไม่ควรพลาด

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ครีมลดเลือนริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่คุณแม่หลังคลอดต้องมีติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคุณแม่หลังคลอดนั้นระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  ผสมผสานกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น  จึงต้องมีตัวช่วยที่ดี เพื่อคงความอ่อนเยาว์ให้กับใบห้าของคุณ ครีมลดเลือนริ้วรอยที่ดีจะต้อง มีส่วนผสมที่เหมาะกับผิวหน้า มีเรตินอลช่วยฟื้นบำรุงและผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวหน้านั้นนุ่มเด้งยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็ก สำหรับใครที่สนใจ วันนี้เรามีครีมลดเลือนริ้วรอยที่ดีที่สุดมาฝากกัน จะมีแบรนด์ใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. Olay Total Effects คุณสมบัติที่โดดเด่นของครีมยี่ห้อนี้คือ มีประสิทธิภาพช่วยลดปัญหาที่เกิดกับผิวหน้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอย ความหมองคล้ำ ผิวขาดน้ำ จบที่ครีมกระปุกนี้เลย  ส่วนผสมที่สำคัญประกอบไปด้วย วิตามินอี ที่ใส่เพิ่มเข้ามาถึง 50% เลยทีเดียว จึงสามารถช่วยปกป้องผิวหน้าจากอนุมูลอิสระต่างๆ อีกทั้งยังมี วิตามิน B5 ที่จะตรงเข้าช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวหน้าของคุณเปล่งปลั่งกระจ่างใส  หากใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัวของผิวที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวนั่นเอง เหมาะสำหรับผิวธรรมดากับผิวมัน 2. Eucerin Q10 Anti-Wrinkle Face Cream โด่งดังมากในเรื่องของการลดริ้วรอย เป็นสูตรที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยเฉพาะ จึงทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้  ตัวครีมไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม  ส่วนประกอบที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือ มีโคเอนไซม์ Q10และเบต้าแคโรทีน ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูร่องลึกของริ้วรอยบนใบหน้าคุณให้ตื้นขึ้น ดูตึงและเนียนกระชับมากขึ้น  ถ้าหากใช้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน […]

6 เคล็ดลับ ที่จะสอนให้พี่น้องรักกัน รู้จักช่วยเหลือแบ่งปันกันมากยิ่งขึ้น

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณแม่หลายคนกำลังกังวลใจ นั่นก็คือการ สอนให้พี่น้องรักกัน เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่กับน้องนั้นเริ่มต้นจากการอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง ที่ต้องมีความรักความเข้าใจในระหว่างลูกทั้งสองคนอย่างเท่าเทียมกัน ปลูกฝังในพี่น้องมีความเคารพต่อกัน จะช่วยให้ลูกๆเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงมีเทคนิคดีๆจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาเด็ก ที่จะช่วยให้พี่น้องรักกันมากยิ่งขึ้นมาฝากกัน จะมีเคล็ดลับใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกรู้จัก “ ให้อภัย” ซึ่งกัน  จากงานวิจัยพบว่า การที่เด็กคนหนึ่งจะรู้สึกให้อภัยกับใครสักคนนั้น มันจะเกี่ยวข้องกับทั้งความรู้สึกและการแสดงออกทางร่างกายเลย ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณแม่จะต้องคอยบอกกล่าวและสอนให้ลูกเข้าใจถึงการให้อภัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เขารู้จัก ให้อภัยซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ซึ่งมีประโยชน์ช่วยให้เด็กๆแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจนั่นเอง  2. สอนให้ลูกหมั่นบอกรักกันเสมอ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผย จะทำให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกดี และสามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นได้ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้คุณแม่สอนให้พี่น้องบอกรักกันในทุกวัน จะทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรักกันมากยิ่งขึ้น 3. ปล่อยให้พี่น้องได้ใช้เวลาร่วมกัน การกระชับความสัมพันธ์ที่ดี คุณแม่เองควรที่จะปล่อยวางและหาช่วงเวลาปลีกตัวออกห่างจากเด็กๆดู ปล่อยให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกัน ได้เล่นด้วยกันตามลำพัง จะช่วยให้คู่พี่น้องปรับตัวเข้าหากันได้ดีมากขึ้น  มีความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 4. ไม่ส่งเสริมให้ลูกแข่งขันกันเอง ข้อนี้สำคัญและจำเป็นอย่างมาก หากคุณไม่อยากให้ลูกเติบโตมาแล้วมีการแก่งแย่งชิงดี หรือแข่งขันกันตลอดเวลา อย่าสร้างบรรยากาศในการเลี้ยงลูกด้วยการแข่งกัน คุณไม่ควรเอาความสามารถของลูกทั้งสองคนมาเปรียบเทียบระหว่างกัน จะทำให้เขารู้สึกเห็นจุดด้อยของตัวเองชัดขึ้นละพยายามที่จะเอาชนะอีกฝ่ายมากขึ้น สิ่งที่ควรปฏิบัติคือคุณต้องอบรมสั่งสอนให้เขาทำงานกันอย่างทีมเวิร์ค รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะช่วยให้พี่น้องรักกันมากขึ้นได้ 5. สร้างความทรงจำที่ดีให้แก่คู่พี่น้อง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาพถ่ายจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เพราะสามารถเก็บเรื่องราวและบันทึกความทรงจำที่ดีในอดีตไว้ได้ไม่ลืมเลือน […]

5  วิธี  ในการตรวจเช็คว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพในอนาคตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จนทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนมีความกังวลในเรื่องของการเลี้ยงลูก ซึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ต้องมีความคาดหวังให้ลูกนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ฉลาด เรียนรู้และเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เป็นอย่างดี แต่จะทราบได้อย่างไรว่า วิธีในการเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่นั้นประสบความสำเร็จ วันนี้เรามีสัญญาณและวิธีการสังเกตพฤติกรรมของลูก ที่บ่งบอกว่าการเลี้ยงดูของคุณนั้นมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ จะมีสัญญาณใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ลูกสามารถกล่าวสวัสดีหรือขอบคุณได้ด้วยตนเอง หากพ่อแม่กำลังสงสัยว่าตนเองประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกหรือไม่นั้น ให้สังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ของลูก หากลูกตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้และสามารถพูด ขอโทษ หรือขอบคุณได้ด้วยตนเองโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องบอก แสดงว่าลูกเข้าใจและรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองได้เป็นอย่างดี ลูกสามารถเรียนรู้และเข้าใจมารยาทในสังคม ที่สำคัญลูกเคารพและให้เกียรติผู้อื่นเป็นอย่างดี  นั่นเป็นสัญญาณได้ว่าลูกจะเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน 2. ลูกรู้จักสังเกตและสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ข้อสังเกตนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยการพาลูกออกไปเที่ยวชมธรรมชาตินอกบ้าน หรือสวนสาธารณะ และสังเกตพฤติกรรมว่าลูกมีความสนใจธรรมชาติหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยความอ่อนโยน มีนิสัยรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ  นั่นบ่งบอกได้ว่าลูกมองเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวนั่นเอง 3. ลูกเห็นความสำคัญของพ่อแม่เป็นอันดับแรก เมื่อลูกพบกับปัญหาที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจหรือความรู้สึกแล้วบอกพ่อแม่ก่อนเสมอโดยที่ไม่กลัวว่าจะถูกตำหนิหรือถูกดุด่า นั่นหมายความว่าลูกไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวคุณพ่อคุณแม่ ว่าสามารถเป็นที่พักพิงใจให้กับเขาได้เป็นอย่างดี และสามารถบ่งบอกได้ถึงการเลี้ยงดูลูกที่ผ่านมาว่าคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ดีมาตลอด จึงทำให้เขานึกถึงคุณเป็นอันดับแรกเมื่อทุกข์ร้อนใจนั่นเอง 4. ลูกมีลักษณะนิสัยแบ่งปันสิ่งของให้ผู้อื่น ข้อนี้สามารถชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณเลี้ยงลูกได้อย่างมีคุณภาพ หล่อหลอมให้เขามีลักษณะนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง มีความเสียสละ ยอมสละของตนเองแบ่งให้ผู้อื่นบ้าง เพราะโดยธรรมชาติของนิสัยเด็กแล้วนั้นมักจะหวงของเล่น หวงขนมอยากเก็บไว้ทานเอง ไม่เข้าใจถึงการแบ่งปัน  ดังนั้นถ้าหากคุณสังเกตว่าลูกรู้จักแบ่งปันของเล่น หรือของกินให้กับเพื่อนๆน้องๆ นั่นแสดงว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกไปอีกขั้นแล้วล่ะ 5. ลูกรับฟังความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ อีกหนึ่งพฤติกรรมที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกนั่นก็คือ ลูกรู้จักยอมรับและคิดตามความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ […]

5 เรื่อง ที่ควรสอนลูกให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัยตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อการใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างมีความสุข

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เรื่องพื้นฐานที่ควรฝึกสอนลูกให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัย เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทุกครอบครัวจะต้องตระหนักถึงความสำคัญ การเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โดยจากผลการสำรวจของกรมสุขภาพจิตในปี 2559 พบว่ามีเด็กเยาวชนอายุ 13-17 ปีมากกว่า 4 ล้านคนที่มีพฤติกรรมที่เกเรและก้าวร้าว นั่นบ่งบอกถึงสภาพการเป็นอยู่และการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กนั้นมีพฤติกรรมเหล่านั้น ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักถึงการเลี้ยงดูและการให้ความสำคัญกับลูกให้มากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าคุณพ่อคุณทุกคนอยากที่จะพยายามอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด วันนี้เราจะรวบรวม เรื่องพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกปฏิบัติจนเป็นนิสัย เพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตในอนาคตของลูกจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน จะมีเรื่องใดที่ควรฝึกฝนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนเรื่องมารยาทในสังคม ถือเป็นเรื่องพื้นฐานเลยที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้กับลูกได้ซึมซับตั้งแต่ยังเด็ก การสอนในเรื่องกฎมารยาทในที่สาธารณะเช่นบนรถเมล์ ในห้างสรรพสินค้า บนรถไฟ เป็นต้น โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายถึงมารยาทในการใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะที่ถูกต้องให้กับลูกได้ ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ ถ้าอยากให้ลูกน้องเห็นภาพมากขึ้นควรพาลูกออกไปเจอสถานการณ์เหล่านั้น และบอกกล่าวเขาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เขาค่อยๆซึมซับและติดมารยาทที่ดีจนเป็นนิสัย 2. สอนให้ลูกทานข้าวเช้าทุกวัน อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารมื้อเช้านั้นเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด จะช่วยเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายอีกทั้งยังช่วยกระตุ้นพลังงานสมอง ช่วยให้ลูกนั้นมีความกระตือรือร้นและพร้อมที่จะเรียนรู้และจดจำในสิ่งต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การทานข้าวเช้าอยู่เป็นประจำนั้นยังสามารถช่วยพัฒนาเซลล์สมองได้เป็นอย่างดีด้วย โดยมีงานวิจัย เด็กที่ทานข้าวเช้าอยู่เป็นประจำพบว่ามีผลการเรียนที่ดีขึ้นมากกว่าเด็กที่ไม่ได้ทานข้าวเช้า ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรที่จะปลูกฝังให้ลูกได้เห็นถึงความสำคัญของการทานข้าวเช้าจนติดเป็นนิสัย เพื่อให้ลูกโตได้อย่างมีคุณภาพและชาญฉลาด โดยอาหารเช้าที่ดีคนเป็นประเภทข้าวหรือขนมปัง จะช่วยเสริมสร้างพลังงานได้เป็นอย่างดี 3. สอนให้ลูกรู้จักเป็นผู้ทักทาย การทักทายผู้อื่นก่อนด้วยความนอบน้อมถ่อมตนนั้นเป็นคุณสมบัติของคนดี ไม่ว่าใครพบเจอหรือพบเห็นก็ต่างชื่นชมและเป็นเด็กที่น่าเอ็นดู การรู้จักกล่าวคำทักทายนั้นจะทำให้เป็นเด็กที่น่าคบหา จะทำให้ลูกเรานั้นสามารถเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี โดยคุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกลูกตั้งแต่ยังเด็ก เขาจะไม่ค่อยซึมซับและติดเป็นนิสัย กลายเป็นเด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีในอนาคต 4. สนับสนุนจุดเด่นในตัวลูก […]

คุณแม่ห้ามพลาด รู้เท่าทันโรค โควิด-19 เตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกต้อง

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้โรคระบาดนั้นกำลังแพร่พันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่ ที่คุณพ่อคุณแม่จะต้อง รู้เท่าทันโรคโควิด-19 และพร้อมรับมือได้อย่างถูกวิธี ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังคงมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อ โดยเป็นโรคติดต่อที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย เป็นโรคที่มีความรุนแรงและอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงเด็กเล็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว มีโอกาสที่จะเสียชีวิตกับการติดเชื้อโควิด-19 สูงมาก วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลสำหรับโรคอุบัติใหม่อย่าง โควิด-19 มาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรง พร้อมทั้งการปฏิบัติตัวของลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคอุบัติใหม่นี้มีความรุนแรงและมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรมากนั้นไปติดตามกันเลย 1. โรคอุบัติใหม่ ไวรัสโคโรน่า โควิด-19  เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอไวรัส ที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางละอองฝอยหรือลมหายใจของผู้ที่ติดเชื้อ  ความหมายของเชื้อไวรัสชนิดนี้คือจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจส่วนบน จึงพบการติดเชื้อมากในเด็กลาสามารถติดเชื้อซ้ำได้เนื่องจากภูมิคุ้มกันการลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ติดเชื้อแล้ว ไม่ได้เด็กบางรายนั้นอาจมีการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงซึ่งเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องระมัดระวังและดูแลลูกเป็นอย่างดีเมื่อออกนอกบ้าน 2. อาการของโรค โควิด-19  คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังและสังเกตอาการลูกอย่างสม่ำเสมอถ้าหากมีการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่แล้วลูกมักจะมีไข้ และมีอาการไอแห้งๆประมาณ 1 สัปดาห์  จากนั้นจะเริ่มมีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ หายใจติดขัดในบางรายเชื้อไวรัสลงปอดทำให้ปอดอักเสบร่วมด้วย จะทำให้อาการนั้นรุนแรงกว่าปกติหลายเท่าและอาจส่งผลให้ระบบอวัยวะภายในร่างกายล้มเหลวได้เลยทีเดียว หรือนอกจากนี้ในบางรายอาจมีน้ำมูก ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย ละ มีการหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย ลักษณะจะคล้ายๆกับไข้หวัดใหญ่ ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกของคุณมีอาการเสี่ยงเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที 3. วิธีการป้องกันลูกน้อยจากโรค โควิด-19 เริ่มจากการทำความสะอาดล้างมืออย่างเป็นประจำ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยแนะนำให้ทำความสะอาดด้วยเจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์จากสามารถช่วยฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อออกนอกบ้านควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มาจากละอองฝอย และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กนั้นเอามือมาสัมผัสบริเวณใบหน้าของตนเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แล้วที่สำคัญของเล่นหรืออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ภายในบ้านนั้นควรทำความสะอาดฆ่าเชื้ออยู่เป็นประจำเพื่อลดการสะสมของเชื้อก่อโรคนั้นเอง 4. […]

4 เคล็ดลับ ในการดูแลลูกน้อย ที่มีอารมณ์อ่อนไหวและไวต่อความรู้สึก

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การเลี้ยงเด็กแต่ละคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวยิ่งเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายและไวต่อความรู้สึกแล้วเราก็คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้เวลาดูแลลูกเป็นพิเศษ เคล็ดลับในการดูแลลูกน้อยที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย นั้นจึงสำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะเด็กที่มีความอ่อนไหวง่ายนั้นจะมีระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ไวกว่าเด็กทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความคิด ระบบสัมผัส ความรู้สึก เมื่อเจอกับสถานการณ์ใดๆก็ตามมักจะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กนั้นเกิดอาการคิดมาก วิตกกังวล และมีความเครียดสะสมมากกว่าเด็กปกติทั่วไปอยากมากเลยทีเดียว ซึ่งการเลี้ยงดูเด็กในลักษณะนี้คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างถ่องแท้วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับในการดูแลลูกน้อยที่มีประสาทสัมผัสที่ไวต่อความรู้สึกมาฝากกัน จะมีวิธีการดูแลอย่างไรบ้างนะติดตามกันเลย 1. ระมัดระวังการใช้คำพูดกับลูก เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกง่ายนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องระมัดระวังคำพูดที่ใช้พูดกับลูกอย่างมาก คำพูดที่ใช้จะต้องมีความนุ่มนวล พูดด้วยเหตุผลไม่ประชดประชัน ไม่เปรียบลูกกับคนอื่น เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กและทำให้เขาเกิดความรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าปกติ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พูดในเชิงให้กำลังใจ พูดให้ลูกคิดไปในทางบวกให้ได้มาก ที่สุด  2. การทำโทษลูกอย่างมีขีดจำกัด สำหรับเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายการลงโทษลูกนั้นไม่สามารถที่จะใช้แบบเด็กปกติทั่วไปได้ เช่นกันทำโทษลูกด้วยการเข้ามุม การให้เขาอยู่คนเดียวเพื่อสำนึกผิด การลงโทษในลักษณะนี้เหมือนการทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว ยิ่งจะทำให้ลูกนั้นสะสมความรู้สึกที่ไม่ดีเก็บไว้ภายใน และอาจจะทำให้แกเป็นเด็กเก็บกดได้ เลวร้ายไปกว่านั้นอาจทำให้ลูกซึมซับอารมณ์ไม่ดีไว้มากมายจนถ่ายทอดออกมาเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก เป็นเด็กเกเรไม่เชื่อฟังก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อลูกทำความผิด คุณพ่อคุณแม่จึงควรใช้เหตุผลคุยกับลูก ใช้คำพูดที่นุ่มนวลน่าฟัง ใช้วิธีการกอดแล้วบอกกับเขาด้วยเหตุผล วิธีเหล่านี้จะทำให้ลูกได้สัมผัสถึงความจริงใจว่าเรานั้นเข้าใจความรู้สึกของลูกดี จะทำให้เขาอารมณ์สงบแต่รับฟังความคิดเห็นของเรามากยิ่งขึ้น 3. ให้เวลาลูกได้ปรับตัว ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่มีความไวต่อความรู้สึกจะมีโลกส่วนตัวสูง มีพฤติกรรมที่ชอบเล่นคนเดียว และรักความอิสระเป็นอย่างมาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรที่จะดึงลูกออกจากโซนที่ลูกรู้สึกปลอดภัย ให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ ให้เวลาลูกได้ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมร่ำๆรวยมากยิ่งขึ้น เช่นพาลูกไปฟังเพลง พาลูกไปวาดรูปศิลปะ พาลูกไปปล่อยพลังวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นตามที่เขาชอบ วิธีเหล่านี้ จะทำให้ลูกนั้นใกล้ชิดกับคุณได้มากยิ่งขึ้น จะทำให้เขามีความรู้สึกที่มั่นคงและเชื่อมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง  […]

5 ประโยชน์ ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด คือช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัว อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ได้นั่งคุย นั่งสบตา รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดทัศนคติร่วมกัน ประโยชน์ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน นั้นมีมากมาย จึงควรเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ที่ทุกครอบครัวควรจะเก็บเกี่ยวความสัมพันธ์ที่ดีนี้ไว้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลย การได้อยู่ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นจะ ช่วยปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็ก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า การนั่งทานข้าวพร้อมกันภายในครอบครัวมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูกเป็นอย่างมาก นอกจากจะช่วยให้ลูกได้เจริญอาหารแล้วยังสามารถช่วยส่งเสริมทักษะที่สำคัญต่างๆในชีวิตได้อีกด้วย ยิ่งถ้าหากให้ลูกมีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกเมนูอาหาร การเตรียมวัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดโต๊ะ ทักษะเหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และเห็นคุณค่าของอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย ประโยชน์ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาทักษะทางด้านการสื่อสาร ได้เป็นอย่างดี  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่กำลังเป็นกังวลใจในเรื่องของการสื่อสารของ แนะนำให้หาเวลาว่างทานข้าวกับลูกพร้อมกันในครอบครัวจะพัฒนาทักษะทางด้านนี้ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาแล้วพบว่า การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในระหว่างทานอาหารการภายในครอบครัวนั้นจะสามารถช่วยให้เด็กมีการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นมารยาทในการทานอาหารไม่จำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพียงอย่างเดียว แต่การทานอาหารที่มีความสุขและได้ประโยชน์นั้น บนโต๊ะอาหารจะต้องเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายและมีความสุข สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็นกันได้ เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดหรือแสดงความรู้สึกในสิ่งที่ต้องการ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้ช่วงเวลานี้สอนมารยาทในการทานอาหารร่วมกับผู้อื่นให้กับลูกได้อีกด้วย 2. มีประโยชน์ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ จากงานวิจัยของชาวแคนาดาในปี 2015 พบว่า เด็กที่ทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวเป็นประจำ จะช่วยลดภาวะซึมเศร้า ลดปัญหาในเรื่องของการใช้ยาเสพติด อีกทั้งยังสามารถใช้อาวุธติกรรมที่รุนแรงของเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะในระหว่างมื้ออาหารนั้นคุณจะได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างการ จะทำให้ลูกนั้นได้กล้าที่จะแสดงความคิดมากยิ่งขึ้นทำให้เขาไม่เก็บกด สภาพจิตใจของลูกก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน 3. ช่วยให้ลูกเจริญอาหารสุขภาพแข็งแรง สำหรับบ้านไหนที่ลูกทานอาหารยาก แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทานอาหารมาเป็นทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน จะช่วยให้บรรยากาศนั้นมีความสุขและรู้สึกสนุกกับการทานอาหารมากยิ่งขึ้น จากผลการวิจัย พบว่า […]

5 เคล็ดลับ สอนลูกให้ภูมิใจในสิ่งที่มี ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การ สอนลูกให้ภูมิใจในสิ่งที่มี นั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เข้าใจว่าผู้ปกครองทุกคนจะต้องอยากให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสามารถ ฉลาด เรียนรู้ไว ซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะมีความคาดหวังในตัวลูกสูงจนเกินไป จนอาจไปปลูกฝังให้ลูกต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความจริงจัง ไม่มีความยืดหยุ่นในชีวิตและกลัวความผิดพลาด ดังนั้นหากคุณอยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะต้องอบรมสั่งสอนให้เขาเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตว่า คนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ไม่ต้องกดดันตัวเอง ใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างเต็มที่ก็พอ  1. สอนให้ลูกกล้าที่จะผิดพลาด ถ้าคุณอยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมีความสุขที่สุดให้คุณเริ่มจากการปล่อยลูกเล่นอย่างอิสระ กล้าลองกล้าเสี่ยงอะไรใหม่ๆ ไม่กลัวที่จะผิดพลาด ไม่กลัวความไม่สมบูรณ์แบบ การที่คุณปล่อยลูกให้เล่นตามธรรมชาติของเด็กจะทำให้เขาสามารถทดสอบศักยภาพของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ อยากจะทำให้เขาค้นพบความเป็นตัวตนได้เร็วยิ่งขึ้น มีความกล้าคิด กล้าทำ กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น ถ้าหากลูกมีโอกาสได้ลองอะไรใหม่ๆหรือทำอะไรด้วยตนเอง จะทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถและมีพัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นอย่างแน่นอน 2. ฝึกให้ลูกเรียงลำดับความสำคัญให้เป็น การสอนให้ลูกไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการปล่อยให้ไม่มีความพยายามหรือไม่มีความอดทน แต่คุณพ่อคุณแม่จะต้องปลูกฝังในเรื่องของการลำดับความสำคัญของสิ่งรอบตัวให้เป็น สิ่งใดสมควรทำก่อนหรือทำหลัง จะทำให้เขาเรียงลำดับความสำคัญได้เป็นและมีความพยายามที่จะพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเรียงลำดับความสำคัญเป็นทักษะให้ลูกนั้นมีความยืดหยุ่นในชีวิตมากยิ่งขึ้น รู้ว่ากิจกรรมใดที่สำคัญที่ควรเคร่งเครียดและจริงจัง หรือกิจกรรมใดที่ควรปล่อยวางเล่นได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ทักษะการเรียงลำดับความสำคัญยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินชีวิตเลยก็ว่าได้ 3. ยอมรับและเข้าใจในตัวตน ให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงความสามารถและทักษะพื้นฐานก็ย่อมแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ดังนั้น ไม่ควรนำลููกไปเปรียบเทียบกับใคร ยอมรับในตัวตนและความสามารถของเขา ไม่กดดันและไม่คาดหวังกับลูกมากจนเกินไป เพราะอาจเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม  จะทำให้เขากดดันตนเอง และไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าที่จะแสดงออกหรือกลัวความผิดพลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกได้โดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีแนะนำให้คุณเข้าใจซึ่งกันและกันยอมรับในตัวตนและความสามารถของเขา พร้อมที่จะส่งเสริมในสิ่งที่ลูกชอบ […]