5 วิธี ฝึกลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นเด็กที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการ ฝึกลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง นั้น มีประโยชน์ต่อลูกในอนาคตอย่างมาก ซึ่งทักษะนี้ ไม่ได้มีกันทุกคน เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องฝึกฝนและปลูกฝังให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองตั้งแต่เด็กจะช่วยให้เขาแสดงศักยภาพและความสามารถที่มีออกมาได้อย่างเต็มที่ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้อย่างไร้ขีดจํากัด เมื่อลูกมีความมั่นใจในตัวเองนะเขาจะรู้สึกมีความสุข ไม่มีอารมณ์น้อยใจ ไม่โหยหาความรัก เขาจะกล้าที่จะเผชิญความจริงและมองโลกในมุมที่กว้างขึ้น ซึ่งทักษะเหล่านี้ จะมีประโยชน์อย่างมากในอนาคตและทำให้เขาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเทคนิคในการฝึกให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองตั้งแต่เด็กมาฝากกัน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้เลย 1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก อันดับแรกเลยการฝึกให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองนั้นคุณพ่อคุณแม่จะเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้กับลูก เริ่มจากการสอนให้ลูกรู้จักตัวเอง กล้าที่จะออกความคิดเห็นหรือกล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา ชัดเจนกับตัวเอง ไม่หลอกตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับ ข้อนี้สำคัญมาก หากเขาสามารถปฏิบัติได้และมีทักษะนี้ได้เร็ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายและมีความสุขมากยิ่งขึ้น 2. ให้ลูกมีโอกาสได้ตัดสินใจเอง คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า การให้ลูกได้มีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบนั้นจะช่วยให้เขารู้จักตัดสินใจและมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกได้ตั้งแต่ยังเด็ก เช่น การให้เขาได้เลือกชุดที่เขาชอบที่จะใส่ในแต่ละวัน เลือกอาหารที่อยากทาน เลือกการ์ตูนที่อยากดู สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกกล้าคิดกล้าตัดสินใจ โดยอยู่ภายในขอบเขตที่เราแอบตั้งไว้ สิ่งที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่จะต้องเคารพในการตัดสินใจของลูก เพื่อสนับสนุนและให้เขากล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมานั่นเอง 3. ให้เวลากับลูก ไม่ว่าคุณจะติดธุระหรือไม่ว่างแค่ไหนก็ตาม แต่ลูกจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ ซึ่งการฝึกฝนให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองนั้น กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่จะต้องสื่อสารและรับฟังรวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดกับลูกอยู่เสมอ จะทำให้เขากล้าที่จะตัดสินใจมากยิ่งขึ้น และมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะเขาจะรู้ว่า เมื่อเขาตัดสินใจพลาด หรือในวันที่เขาเสียใจเขาจะมีคุณอยู่ข้างๆเสมอและจะไม่กลัวที่จะตัดสินใจเอง ดังนั้นเวลาที่อยู่กับลูกจึงมีค่าและมีความสำคัญอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามข้อนี้ไป 4. ปล่อยให้ลูกได้แก้ไขปัญหาเอง […]
4 เคล็ดลับ ในการดูแลลูกน้อย ที่มีอารมณ์อ่อนไหวและไวต่อความรู้สึก
การเลี้ยงเด็กแต่ละคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวยิ่งเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายและไวต่อความรู้สึกแล้วเราก็คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้เวลาดูแลลูกเป็นพิเศษ เคล็ดลับในการดูแลลูกน้อยที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย นั้นจึงสำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะเด็กที่มีความอ่อนไหวง่ายนั้นจะมีระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ไวกว่าเด็กทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความคิด ระบบสัมผัส ความรู้สึก เมื่อเจอกับสถานการณ์ใดๆก็ตามมักจะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กนั้นเกิดอาการคิดมาก วิตกกังวล และมีความเครียดสะสมมากกว่าเด็กปกติทั่วไปอยากมากเลยทีเดียว ซึ่งการเลี้ยงดูเด็กในลักษณะนี้คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างถ่องแท้วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับในการดูแลลูกน้อยที่มีประสาทสัมผัสที่ไวต่อความรู้สึกมาฝากกัน จะมีวิธีการดูแลอย่างไรบ้างนะติดตามกันเลย 1. ระมัดระวังการใช้คำพูดกับลูก เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกง่ายนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องระมัดระวังคำพูดที่ใช้พูดกับลูกอย่างมาก คำพูดที่ใช้จะต้องมีความนุ่มนวล พูดด้วยเหตุผลไม่ประชดประชัน ไม่เปรียบลูกกับคนอื่น เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กและทำให้เขาเกิดความรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าปกติ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พูดในเชิงให้กำลังใจ พูดให้ลูกคิดไปในทางบวกให้ได้มาก ที่สุด 2. การทำโทษลูกอย่างมีขีดจำกัด สำหรับเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายการลงโทษลูกนั้นไม่สามารถที่จะใช้แบบเด็กปกติทั่วไปได้ เช่นกันทำโทษลูกด้วยการเข้ามุม การให้เขาอยู่คนเดียวเพื่อสำนึกผิด การลงโทษในลักษณะนี้เหมือนการทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว ยิ่งจะทำให้ลูกนั้นสะสมความรู้สึกที่ไม่ดีเก็บไว้ภายใน และอาจจะทำให้แกเป็นเด็กเก็บกดได้ เลวร้ายไปกว่านั้นอาจทำให้ลูกซึมซับอารมณ์ไม่ดีไว้มากมายจนถ่ายทอดออกมาเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก เป็นเด็กเกเรไม่เชื่อฟังก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อลูกทำความผิด คุณพ่อคุณแม่จึงควรใช้เหตุผลคุยกับลูก ใช้คำพูดที่นุ่มนวลน่าฟัง ใช้วิธีการกอดแล้วบอกกับเขาด้วยเหตุผล วิธีเหล่านี้จะทำให้ลูกได้สัมผัสถึงความจริงใจว่าเรานั้นเข้าใจความรู้สึกของลูกดี จะทำให้เขาอารมณ์สงบแต่รับฟังความคิดเห็นของเรามากยิ่งขึ้น 3. ให้เวลาลูกได้ปรับตัว ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่มีความไวต่อความรู้สึกจะมีโลกส่วนตัวสูง มีพฤติกรรมที่ชอบเล่นคนเดียว และรักความอิสระเป็นอย่างมาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรที่จะดึงลูกออกจากโซนที่ลูกรู้สึกปลอดภัย ให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ ให้เวลาลูกได้ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมร่ำๆรวยมากยิ่งขึ้น เช่นพาลูกไปฟังเพลง พาลูกไปวาดรูปศิลปะ พาลูกไปปล่อยพลังวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นตามที่เขาชอบ วิธีเหล่านี้ จะทำให้ลูกนั้นใกล้ชิดกับคุณได้มากยิ่งขึ้น จะทำให้เขามีความรู้สึกที่มั่นคงและเชื่อมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง […]
5 ประโยชน์ ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว
ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด คือช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัว อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ได้นั่งคุย นั่งสบตา รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดทัศนคติร่วมกัน ประโยชน์ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน นั้นมีมากมาย จึงควรเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่ง ที่ทุกครอบครัวควรจะเก็บเกี่ยวความสัมพันธ์ที่ดีนี้ไว้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลย การได้อยู่ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นจะ ช่วยปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็ก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า การนั่งทานข้าวพร้อมกันภายในครอบครัวมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของลูกเป็นอย่างมาก นอกจากจะช่วยให้ลูกได้เจริญอาหารแล้วยังสามารถช่วยส่งเสริมทักษะที่สำคัญต่างๆในชีวิตได้อีกด้วย ยิ่งถ้าหากให้ลูกมีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกเมนูอาหาร การเตรียมวัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดโต๊ะ ทักษะเหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และเห็นคุณค่าของอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย ประโยชน์ของการทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาทักษะทางด้านการสื่อสาร ได้เป็นอย่างดี สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่กำลังเป็นกังวลใจในเรื่องของการสื่อสารของ แนะนำให้หาเวลาว่างทานข้าวกับลูกพร้อมกันในครอบครัวจะพัฒนาทักษะทางด้านนี้ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาแล้วพบว่า การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในระหว่างทานอาหารการภายในครอบครัวนั้นจะสามารถช่วยให้เด็กมีการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นมารยาทในการทานอาหารไม่จำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพียงอย่างเดียว แต่การทานอาหารที่มีความสุขและได้ประโยชน์นั้น บนโต๊ะอาหารจะต้องเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายและมีความสุข สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็นกันได้ เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดหรือแสดงความรู้สึกในสิ่งที่ต้องการ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้ช่วงเวลานี้สอนมารยาทในการทานอาหารร่วมกับผู้อื่นให้กับลูกได้อีกด้วย 2. มีประโยชน์ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ จากงานวิจัยของชาวแคนาดาในปี 2015 พบว่า เด็กที่ทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวเป็นประจำ จะช่วยลดภาวะซึมเศร้า ลดปัญหาในเรื่องของการใช้ยาเสพติด อีกทั้งยังสามารถใช้อาวุธติกรรมที่รุนแรงของเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะในระหว่างมื้ออาหารนั้นคุณจะได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างการ จะทำให้ลูกนั้นได้กล้าที่จะแสดงความคิดมากยิ่งขึ้นทำให้เขาไม่เก็บกด สภาพจิตใจของลูกก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน 3. ช่วยให้ลูกเจริญอาหารสุขภาพแข็งแรง สำหรับบ้านไหนที่ลูกทานอาหารยาก แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทานอาหารมาเป็นทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากัน จะช่วยให้บรรยากาศนั้นมีความสุขและรู้สึกสนุกกับการทานอาหารมากยิ่งขึ้น จากผลการวิจัย พบว่า […]
5 เคล็ดลับ สอนลูกให้ภูมิใจในสิ่งที่มี ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง
การ สอนลูกให้ภูมิใจในสิ่งที่มี นั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เข้าใจว่าผู้ปกครองทุกคนจะต้องอยากให้ลูกนั้นเติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสามารถ ฉลาด เรียนรู้ไว ซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะมีความคาดหวังในตัวลูกสูงจนเกินไป จนอาจไปปลูกฝังให้ลูกต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความจริงจัง ไม่มีความยืดหยุ่นในชีวิตและกลัวความผิดพลาด ดังนั้นหากคุณอยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะต้องอบรมสั่งสอนให้เขาเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตว่า คนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ไม่ต้องกดดันตัวเอง ใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างเต็มที่ก็พอ 1. สอนให้ลูกกล้าที่จะผิดพลาด ถ้าคุณอยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมีความสุขที่สุดให้คุณเริ่มจากการปล่อยลูกเล่นอย่างอิสระ กล้าลองกล้าเสี่ยงอะไรใหม่ๆ ไม่กลัวที่จะผิดพลาด ไม่กลัวความไม่สมบูรณ์แบบ การที่คุณปล่อยลูกให้เล่นตามธรรมชาติของเด็กจะทำให้เขาสามารถทดสอบศักยภาพของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ อยากจะทำให้เขาค้นพบความเป็นตัวตนได้เร็วยิ่งขึ้น มีความกล้าคิด กล้าทำ กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น ถ้าหากลูกมีโอกาสได้ลองอะไรใหม่ๆหรือทำอะไรด้วยตนเอง จะทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถและมีพัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นอย่างแน่นอน 2. ฝึกให้ลูกเรียงลำดับความสำคัญให้เป็น การสอนให้ลูกไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการปล่อยให้ไม่มีความพยายามหรือไม่มีความอดทน แต่คุณพ่อคุณแม่จะต้องปลูกฝังในเรื่องของการลำดับความสำคัญของสิ่งรอบตัวให้เป็น สิ่งใดสมควรทำก่อนหรือทำหลัง จะทำให้เขาเรียงลำดับความสำคัญได้เป็นและมีความพยายามที่จะพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเรียงลำดับความสำคัญเป็นทักษะให้ลูกนั้นมีความยืดหยุ่นในชีวิตมากยิ่งขึ้น รู้ว่ากิจกรรมใดที่สำคัญที่ควรเคร่งเครียดและจริงจัง หรือกิจกรรมใดที่ควรปล่อยวางเล่นได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ทักษะการเรียงลำดับความสำคัญยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินชีวิตเลยก็ว่าได้ 3. ยอมรับและเข้าใจในตัวตน ให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงความสามารถและทักษะพื้นฐานก็ย่อมแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ดังนั้น ไม่ควรนำลููกไปเปรียบเทียบกับใคร ยอมรับในตัวตนและความสามารถของเขา ไม่กดดันและไม่คาดหวังกับลูกมากจนเกินไป เพราะอาจเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม จะทำให้เขากดดันตนเอง และไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าที่จะแสดงออกหรือกลัวความผิดพลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกได้โดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีแนะนำให้คุณเข้าใจซึ่งกันและกันยอมรับในตัวตนและความสามารถของเขา พร้อมที่จะส่งเสริมในสิ่งที่ลูกชอบ […]
5 Eye cream แนะนำสำหรับคุณแม่ เพื่อลดปัญหารอยคล้ำใต้ตาอย่างมีประสิทธิภาพ
Eye cream เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวรอบดวงตาให้กลับมาดูสดใส อ่อนกว่าวัยอีกครั้ง โดยเฉพาะคุณแม่หลังคลอดที่มีเวลาพักผ่อนน้อย ผิวหน้าโทรมขาดการดูแล ครีมบำรุงผิวรอบดวงตานี้จะช่วยให้ดวงหน้าและใบหน้าของคุณดูอ่อนกว่าวัย โดยเฉพาะ Eye cream ของญี่ปุ่น ที่มีส่วนผสมตรงเข้าฟื้นบำรุง และให้ความชุ่มชื้นรอบดวงตา ให้การแต่งหน้านั้นเรียบเนียน ไม่ตกร่อง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นและปรับการไหลเวียนของโลหิตรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมียี่ห้อใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. Meishoku PlaceWhiter Medical Whitening Eye Cream ความโดดเด่นของครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้คือจะมีเนื้อครีมที่นุ่มสามารถเกลี่ยได้ง่าย และล็อคความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างยาวนาน มีคุณสมบัติช่วยลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยได้เป็นอย่าง ที่สำคัญมีสารสกัดจากธรรมชาติให้ความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับผิวรอบดวงตาของคุณอย่างแน่นอน โดยทางแบรนด์ได้เคลมไว้ว่าจะช่วยให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นขึ้น 97% ภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่พักผ่อนน้อย ดวงตาล้า หรือมีรอยคล้ำใต้ตา ทีมนี้จะมีส่วนผสมจากรกแกะที่มีประสิทธิภาพช่วยเข้าไปยับยั้งการผลิตเมลานิน ให้ผิวบริเวณใต้ขอบตานั้นกระจ่างใสมากขึ้นอีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวรอบดวงตากระชับมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย 2. Curel Intensive Moisture CARE Moisture Repair Eye Cream ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้ออกแบบมาเพื่อคนที่ผิวแห้งและผิวบอบบางโดยเฉพาะ ความโดดเด่นของแบรนด์นี้คือจะมีสารสกัดจากยูคาลิปตัส ที่มีสารอัลลันโทอิน มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาแบรนด์นี้ มีความอ่อนโยนปราศจากสารอันตรายทุกชนิด […]
5 ข้อควรระวัง ของการใช้เทคโนโลยีที่มากจนเกินไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของลูกน้อยมากยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญตรงจุดนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกได้โดยตรง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรตระหนักรู้ถึงโทษที่มาจากการใช้เทคโนโลยีมากจนเกินไป ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม ถ้าหากรู้จักใช้ก็จะสามารถมอบคุณประโยชน์ได้มากมาย แต่ถ้าหากใช้มากจนเกินความจำเป็น อาจจะส่งผลเสียตามมาในอนาคตได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงรวบรวมอันตรายที่มาจากการใช้เทคโนโลยีมากจนเกินไปมาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน มีผลกระทบ ต่อลูกน้อยอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ส่งผลกระทบต่อการเข้าสังคม เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของลูกน้อยมากจนเกินไปสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ชัดเลยคือลูกจะอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ กิจกรรมส่วนใหญ่ของลูกจะอยู่ภายในมือถือไม่ว่าจะเป็นการดูการ์ตูน การเล่นเกม การดู YouTube การฟังเพลง เป็นต้น จึงทำให้ลูกนั้นขาดโอกาสในการเข้าสังคม และไม่มีทักษะทางด้านการเข้าหาผู้คนได้มากเท่าที่ควร จึงอาจส่งผลกระทบให้ลูกน้อยนั้นปรับตัวเข้าหาคนได้ยาก ซึ่งทักษะเหล่านี้ถือว่าสำคัญและจำเป็นในการดำเนินชีวิตในอนาคตอย่างมาก โดยจากการวิจัยแล้วพบว่า หากลูกน้อยใช้สมาร์ทโฟนมากกว่า 82% ส่วนใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อการสนทนาในชีวิตประจำวัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีหรือโทรศัพท์มือถือของโลกให้มากยิ่งขึ้น 2. กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ซึ่งถ้าหากในแต่ละวันลูกจับจ้องอยู่แต่กับสมาร์ทโฟนมากจนเกินไปวันละหลายชั่วโมง จะทำให้เขามีพัฒนาการทางสมองที่ลดน้อยลง เป็นเด็กที่สมาธิสั้น ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหาเหล่านี้แล้วจะทำให้แก้ไขได้ยากขึ้น จะทำให้เด็กเสียโอกาสการเรียนรู้เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกในวัยก่อน 2 ขวบ ไม่ควรดูโทรศัพท์มือถือหน้าจอทีวี เพราะภาพนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อเด็กจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวีจะทำให้เขามีปัญหาทางด้านสมอง ส่งผลต่อความจำลดน้อยลง และที่สำคัญจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากขึ้นอีกด้วย 3. ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ การที่เด็กมีบุคลิกภาพที่ดีนั้นจะส่งผลในเรื่องของการสร้างความมั่นใจได้มากยิ่ง แต่ถ้าหากเลือกใช้เทคโนโลยีหรือสมาร์ทโฟนมากจนเกินไปจะทำให้ลูกนั้นหนูเป็นเด็กที่ไหล่ตก หรือในบางรายอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อกระดูกสันหลังคดงอหรือเปลี่ยนรูปไปได้ ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของสุขภาพกล้ามเนื้ออักเสบในอนาคตต่อไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องกำหนดเวลาการใช้สมาร์ทโฟนหรือการใช้เทคโนโลยีในเวลาที่จำกัด เพื่อให้ลูกได้พักสายตาและได้ปรับบุคลิกภาพให้อยู่ในท่วงท่าที่เหมาะสมนั้นเอง 4. โทรศัพท์มือถือสกปรก อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของลูกได้โดยตรง […]
4 เคล็ดลับ ในการควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ ให้มีความคิดเชิงบวกเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเลี้ยงลูกตลอดเวลา 24 ชั่วโมงของคุณแม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เพราะในแต่ละวันนั้นคุณแม่จะต้องพบเจอกับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ซ้ำกันเลย จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องมีความอ่อนโยน ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้คิดบวกที่สุด เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูก ยิ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เจอลูกที่ดื้อ และไม่ยอมฟังเหตุผลนั้น จะยิ่งทำให้การควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ทำได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่ทางด้านจิตวิทยาแล้ว การควบคุมอารมณ์ของตนเองให้คิดบวกตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางครั้งคุณอาจจะเผลอระเบิดอารมณ์ใส่ลูก ซึ่งก็ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของลูกอีก ดังนั้นปัญหาทางด้านของอารมณ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการควบคุมอารมณ์ของคุณแม่ ให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากกัน จะมีข้อปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. บอกรักตัวเอง การกอดหรือการบอกแล้วตัวเองนั้น ถือเป็นการแสดงความรักและการให้กำลังใจที่ดีที่สุดที่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวัง หรือมีอารมณ์น้อยใจเกิดขึ้นระหว่างการเลี้ยงลูก ให้คุณกอดลูกให้แน่น พร้อมทั้งบอกรักตัวเองและให้กำลังใจตัวเองว่าคุณสามารถทำได้ และคุณทำดีที่สุดแล้ว 2. ไม่คาดหวังในตัวลูก หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกเครียดแล้วเป็นกังวลกับการคาดหวังในตัวลูกมากจนเกินไป จนอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอาจทำให้คุณนั้นมีภาวะเครียดสะสม เกิดปัญหาจิตตก แอบโมโหหงุดหงิดง่ายเมื่อพบว่าไม่เป็นไปดั่งที่ใจต้องการนั่นเอง ดังนั้นคุณควรรู้สึกปล่อยวางและเชื่อมั่นในตัวลูกว่าเขาสามารถทำได้ จากงานวิจัยแล้วพบว่าการเลี้ยงลูกอย่างอิสระนั้นจะทำให้เขาเกิดความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการที่สูงกว่าเราไปกำหนดขอบเขตของลูก ช่วยให้เขาคิดเป็น และมีพัฒนาการพึ่งตัวเองได้ดี ดังนั้นหากคุณปล่อยวาง ทำให้การเลี้ยงลูกเชิงบวกได้ง่ายยิ่งขึ้น แถมยังมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย 3. เลี้ยงลูกอย่างมีสติ ทุกครั้งที่คุณอยู่กับลูกคุณจะต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องมีความอดทนอดกลั้นถึงแม้ว่าลูกนั้นจะดื้อรั้นหรือทำในสิ่งที่คุณหงุดหงิดก็ตาม ไปคณปรับอารมณ์และปรับทัศนคติว่า ยิงลูกดื้อซน จะทำให้เขามีประสบการณ์การเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอยู่ในกรอบ ไม่ก้าวร้าวจนเกินไป หากคุณมีสติอยู่ตลอดเวลาทำทุกอย่างให้ช้าลงจะช่วยให้คุณนั้น สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เลี้ยงลูกในเชิงบวกได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง […]
7 เคล็ดลับ ช่วยให้ลูกเลิกแพมเพิสได้ง่ายยิ่งขึ้นและเห็นผลไว
ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก ในการฝึกลูกเลิกแพมเพิส โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจะฝึกให้ลูกเลิกแพมเพิสให้ได้ก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเชื่อว่าปัญหานี้เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองหลายท่านกำลังเป็นกังวลใจ การฝึกลูกเลิกแพมเพิสนอกจากจะมีประโยชน์กับตัวเด็กเองแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มากเลยทีเดียว วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับด้วยการเลิกแพมเพิสให้กับลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฝึกตามได้ง่าย จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. เลิกตามความพร้อมของเด็ก ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะฝึกให้ลูกเลิกใช้แพมเพิส ต้องคำนึงถึงความพร้อมของลูกเป็นอันดับแรก ซึ่งลูกจะต้องเข้าใจความหมายในสิ่งที่เราสื่อก่อน ถึงจะทำให้เราสื่อสารกันรู้เรื่อง และปฏิบัติตามได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยระยะแรก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกเลิกแพมเพิสในช่วงเวลากลางวัน เพราะจะช่วยให้สังเกตเห็นพฤติกรรมของลูกได้ง่ายและรวดเร็วกว่าในเวลากลางคืนนั่นเอง ซึ่งช่วงวัยที่เหมาะสม คือช่วงวัยประมาณ 3 ขวบครึ่ง 2. สอนให้ลูกเข้าใจการขับถ่าย ก่อนที่เราจะฝึกให้ลูกเลิกแพมเพิสนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกทำความเข้าใจกับ อึ ฉี่ ให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น เวลาที่ลูกปวดจะได้มีการสื่อสารหรือบอกกล่าวกับเราให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง 3. ฝึกในช่วงเวลากลางวัน โดยระหว่างการฝึกนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใส่กางเกงซับในหรือกางเกงผ้าอ้อม โดยการฝึกเลิกแพมเพิสในช่วงเวลากลางวัน จะทำให้เราฝึกเด็กได้อย่างเต็มที่ แต่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีความอดทนเพราะจะต้องคอยเช็ด อึ เช็ดฉี่ ของลูกตลอดเวลา จนกว่าลูกจะสามารถปรับตัวและควบคุมการขับถ่ายได้เอง 4. หมั่นสังเกต ให้คุณพ่อคุณแม่คอยสอบถามและสังเกตอาการของลูก ว่ามีพฤติกรรมหรือมีอาการปวดฉี่หรือปวดท้องจะถ่ายหรือไม่ โดยระยะเวลาที่เหมาะสมคือควรหมั่นสังเกตทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งในเด็กบางคนอาจจะเล่นจนเพลิน และเผลออั้นฉี่ไว้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องหมั่นสังเกตอย่างใกล้ชิด 5. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม […]
5 วิธี เรียนรู้และรับมือกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
สำหรับคุณแม่มือใหม่ การรับมือกับชีวิตหลังคลอดนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คุณแม่จะต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของด้านร่างกาย ด้านจิตใจ รวมถึงด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสาเหตุจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ทำให้คุณแม่ต้องเตรียมรับมือกับภาวะอารมณ์ที่แปรปรวณ ซึ่งจากสถิติแล้วคุณแม่หลังคลอด 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ มักมีอาการซึมเศร้า ในระดับปานกลางเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่คุณแม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับกับสภาวะอารมณ์ในขณะนั้น และจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นให้ดี วันนี้เราจึงรวบรวมวิธีการรับมือกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดมาฝากกัน สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้อยู่นั้น สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. หาเวลาสร้างความผูกพันธ์กับลูก เมื่อคุณแม่รู้สึกจิตใจวิตกกังวล มีความรู้สึกเศร้า หม่นหมอง ไม่แจ่มใส ให้คุณแม่ลองนั่งมองหน้าลูกรักอย่างใจเย็น ให้เวลากับตัวเองได้ทบทวนความรู้สึก และหาสาเหตุของความเศร้าที่เกิดขึ้น การให้เวลาและสร้างความผูกพันกับลูกน้อย จะเป็นประโยชน์ช่วยเยียวยาจิตใจของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นยาชั้นดีที่ไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ คุณจะรู้สึกหายเหนื่อย รู้สึกมีความสุขมากขึ้น มีพลังในการสู้กับเรื่องราวต่างๆมากมายต่อไปได้ดียิ่งขึ้น 2. ให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน สำหรับคุณแม่มือใหม่แล้วนั้นการปรับตัวกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนั้นค่อนข้างยาก คุณอาจจะรู้สึกสับสนวุ่นวาย จนไม่สามารถเรียบเรียงความรู้สึกได้ คุณอาจจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูกน้อย แต่อย่าลืมว่าคุณจะต้องมีเวลาส่วนตัว จะต้องมีเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน พักสมอง พักความคิด เพื่อที่จะได้ก้าวเดินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การหาเวลาให้กับตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากคุณแม่หลังคลอดนั้นจะมีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้นม การปั๊มนม เลี้ยงลูกตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากคุณแม่ไม่ได้พักผ่อนติดต่อกัน […]
5 วิธี ในการเตรียมความพร้อม เมื่อลูกถึงวัยต้องเข้าโรงเรียน
เมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน ลูกน้อยเริ่มมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความคิด มีลักษณะนิสัยเฉพาะของตัวเอง หรือเรียกง่ายๆว่ามีความเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมคุณพ่อคุณแม่จะต้องมีการปรับตัว และยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งการเรียนรู้ก้าวแรกของลูกนั้นคือการไปโรงเรียน มีสังคมที่โรงเรียน ไปแลกเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้และเติบโตได้มากยิ่งขึ้น ก้าวแรกของชีวิตลูกนั้นสำคัญ คุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมความพร้อมให้กับลูกซึ่งแน่นอนว่า การออกจากบ้านที่อบอุ่น ออกจากอกของพ่อแม่ไปพบเจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย ไปพบเจอกับคนแปลกหน้าอาจทำให้เกิดการวิตกกังวลและเกิดการต่อต้านขึ้นได้ วันนี้เราจึงมีวิธีในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนเข้าโรงเรียนมาฝากกัน จะมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เตรียมความพร้อมให้กับลูก ด้วยการอ่านนิทานก่อนนอน ถึงแม้ว่าร่างกายและจิตใจของลูกนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลง แต่ทุกการเติบโตย่อมมีก้าวแรกเสมอ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยปรับทัศนคติ ช่วยบรรเทาความกลัวและคลายความกังวลให้กับลูก ให้ลูกเตรียมพร้อมรับกับสภาพแวดล้อมหรือสังคมใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต การอ่านนิทานก่อนนอนก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะให้ลูกนั้นได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนจะช่วยให้ลูกและมีประสบการณ์ร่วมได้ เด็กนั้นจะสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในนิทานได้ ซึ่งแนะนำให้เรื่องนิทานที่เกี่ยวกับการไปโรงเรียน เพื่อให้ลูกนั้นได้คุ้นชินและไม่กลัวการไปโรงเรียน วิธีนี้จะทำให้ลูกนั้นสามารถปรับตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น 2. ร้องไห้ได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อถึงวันแรกที่ลูกต้องเข้าโรงเรียน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการปรับตัวทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย พี่อาจจะใจหายและมีความรู้สึกกลัว กังวล ซึ่งสภาพจิตใจของเด็กแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เด็กบางคนสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในขณะที่เด็กหลายๆคนนั้นไม่คุ้นชินกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่แปลกตา จึงทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วไม่อบอุ่นเท่าที่บ้าน ลูกอาจจะแสดงความกลัวออกมา ด้วยการร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป ปล่อยให้ลูกได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาทั้งหมด เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่คอยปลอบและจับมือเขาอย่างอ่อนโยน การสวมกอดหรือการหอมแก้มจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่น รู้สึกไม่โดดเดี่ยว และจะสร้างความมั่นใจว่าการไปโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ลูกจะได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆทั้ง คุณครู และเพื่อนๆที่โรงเรียน 3. ยิ้มแย้มแจ่มใส […]