5 พฤติกรรมเสี่ยง ที่คุณแม่ชอบเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแปรงฟันของลูก อัพเดท 2022
การดูแลความสะอาดในช่องปากของลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก และถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็กๆที่มีฟันน้ำนมขึ้นแล้วมักจะมีปัญหาในเรื่องของ ฟันผุ เพราะมีพฤติกรรมการแปรงฟันที่ไม่เหมาะสม หรือคุณพ่อคุณแม่นั้นละเลยไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ผสมผสานกับการดูแลช่องปากอย่างผิดวิธี ซึ่งปัญหาฟันผุนั้นจะส่งผลต่อพัฒนาการในด้านอื่นตามมาอีกมากมาย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรปลูกฝังให้ลูกนั้นรักความสะอาดในการแปรงฟันให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก ซึ่งการ พาลูกแปลงฟันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดคุณพ่อคุณแม่จะต้องมีความอดทนเป็นอย่างมาก และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความสะอาดในช่องปากของลูก พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านั้นจะมีอะไรบ้างไปติดตามกันเลย 1. ไม่กล้าให้ลูกแปรงฟันด้วยตัวเอง ซึ่งเข้าใจได้ว่าคุณพ่อคุณแม่นั้นยังคงเป็นห่วงและไม่กล้าปล่อยให้ลูกนั้นต้องแปรงฟันด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้สอนให้เขาได้แปรงฟันตามช่วงวัยไปแล้ว จึงควรปล่อยให้เขาได้เรียนรู้และทำความสะอาดช่องปากของตัวเองจนเป็นนิสัย โดยคุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่แรกเกิด โดยการใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆเช็ดที่เหงือกและลิ้นในช่วงเช้าและก่อนนอน ในช่วง 6-10 เดือนให้คุณแม่พาลูกนอนบนตัก และแปรงถูฟันไปมา 10 ครั้ง ต่อซี่ จนลูกเริ่มเกิดความเคยชิน จนกระทั่งในช่วงหนึ่งถึง 1.5 – 3 ขวบ จึงควรเริ่มฝึกให้ลูกคุ้นชินกับการแปรงฟันด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้เขานั้นมีความมั่นใจที่จะดูแลความสะอาดในช่องปากของตัวเองให้ดีที่สุดนั่นเอง หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีความเป็นห่วงก็คอยดูแลความปลอดภัยของลูกอยู่ใกล้ๆก็ได้ 2. เลือกแปรงสีฟันให้เหมาะกับลูก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะมีความเชื่อว่าแปรงสีฟันสำหรับเด็กนั้นก็เหมือนกันทุกยี่ห้อ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ถูก แปรงสีฟันของเด็กในแต่ละยี่ห้อนั้นมีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันไป โดยคุณพ่อคุณแม่จะต้องเลือกขนแปรงที่นุ่มไม่บาดเหงือก และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก รวมถึงสามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก และขนาดของแปรงจะต้องเหมาะสมกับช่องปากของลูกในแต่ละช่วงวัย ซึ่งการเลือกแปรงสีฟันให้กับลูกนั้นถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ แล้วคุณพ่อคุณแม่จึงควรเปลี่ยนแปลงให้ลูกทุกๆ 3 เดือน เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับลูกได้นั่นเอง 3. สอนให้ลูกทำความสะอาดเฉพาะขนแปรง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิด ความจริงแล้วแหล่งที่สะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียที่เรามองไม่เห็นมีอยู่ทุกที่ในห้องน้ำ […]
4 ปัจจัยที่จะช่วยลดและป้องกันการเกิดออทิสติกได้ตั้งแต่เริ่มการตั้งครรภ์ อัพเดท 2022
โรคออทิสติก หรือ ออทิสติกสเปกตรัม เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสมอง อาจมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรือปัจจัยต่างๆขณะที่ตั้งครรภ์ ทำให้เกิดข้อบกพร่องทางด้านการพูดสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทักษะเหล่านี้ สำคัญต่อการเจริญเติบโตของทารกเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนั้นไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนว่าโรคออทิสติกนั้นมีสาเหตุมาจากอะไรแต่เชื่อว่าเกิดจากการแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์และในระหว่างการคลอดนั่นเองเช่น การมีเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งปัจจัยทางด้านพันธุกรรมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะสามารถทำให้เกิดโรคนี้ได้ อาการของโรคออทิสติก ที่พบได้บ่อยเช่นพูดช้า ไม่สบตาเวลาพูด สีหน้าและแววตาดูเฉยเมยไร้อารมณ์ เล่นซ้ำ 3 หม่องซ้ำซ้ำไม่สนใจเพื่อนชอบอยู่ตามลำพัง รวมถึงมีพฤติกรรมที่ขาดสมาธิ มีอารมณ์ฉุนเฉียวมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเป็นต้น เราสามารถลดโอกาสการเกิดโรคนี้ได้ตั้งแต่ยังตั้งครรภ์ จะมีปัจจัยใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. โภชนาการทางด้านอาหาร ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ในขณะตั้งครรภ์ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เรื่องของอาหารการกินนั้นเป็นสิ่งที่จะสามารถแสดงให้เห็นว่าลูกน้อยในครรภ์นั้นได้รับประโยชน์หรือผลกระทบจากการกินของคุณแม่ ดังนั้นคุณแม่จึงควรทานอาหารให้หลากหลาย ครบทั้ง 5 หมู่ และอาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์โดยตรงคือการกินอาหารแปรรูปและมีสารปรุงแต่งอาหารมากเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกได้โดยตรง สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารที่มี กรดไขมัน วิตามินดี และโฟลิค ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเป็น ออทิสติกสูงถึง 60% เลยทีเดียว 2. สารพิษหรือสารเคมี ก็มีส่วนอย่างมากที่จะส่งผลให้ลูกน้อยในครรภ์นั้นเป็นออทิสติกได้ คุณแม่ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นจึงไม่ควรนำตนเองไปยังสถานที่เสี่ยง หรือพื้นที่อากาศอับ ไม่ถ่ายเท ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์ ยาฆ่าแมลง หรือยาเสพติดต่างๆ สารเคมีเหล่านี้ไม่ว่าจะผ่านทางจมูก ปาก รวมถึงผิวหนัง ก็สามารถส่งผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนเลือดและส่งผลโดยตรงสู่ทารกน้อยในครรภ์ […]
7 อาหารอร่อยดีมีประโยชน์ ช่วยลดอาการท้องผูกในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่นั้น เรื่องสุขภาพของลูกน้อยถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หลายบ้านคงอาจประสบกับปัญหาลูกท้องผูก ถ่ายยากกันมาบ้างแล้ว ซึ่งอาการท้องผูกนี้ สามารถพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ทำให้ลูกน้อยรู้สึกไม่สบายตัว มีอาการปวดท้องเมื่อลำไส้บีบตัว ซึ่งลักษณะอาการท้องผูกนี้ส่วนมากลูกจะถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ่ายยาก มีอาการปวดท้องขณะถ่าย ลักษณะของอุจจาระเป็นก้อนแข็ง หรือในบางครั้งหากท้องผูกมากๆก็จะพบเลือดปนออกมากับอุจจาระได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ หรือปล่อยไว้เป็นเวลานาน วันนี้เราจึงมีวิธีในการดูแลลูกน้อยที่มีอาการท้องผูก ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เข้ามาช่วยลดอาการท้องผูกให้ลูกถ่ายง่าย ถ่ายคล่องมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งอาหารที่จะช่วยลดอาการท้องผูกมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. ป๊อปคอร์น ถือเป็นอาหารทานเล่นแสนโปรดของเด็กๆหลายๆคนอยู่แล้ว เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อย ทานเล่นได้เพลินตลอดเวลา ป๊อปคอร์นนอกจากจะมีกลิ่นหอม รสชาติอร่อยถูกปากแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยลดอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ในป๊อบคอร์น 1 ถ้วย สามารถให้ไฟเบอร์แก่ร่างกาย 1 กรัม โดยมีงานวิจัยเผยมาแล้วว่า การทานป๊อปคอร์นเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์สูงกว่าคนที่ไม่ทานป๊อบคอร์นไม่มากถึง 22% เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ ป๊อปคอร์นที่ทานจะต้องไม่หวานจนเกินไป ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนและทำให้ฟันผุได้นั่นเอง 2. ถั่วบด เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากธาตุเหล็ก และโปรตีนอีกด้วย ซึ่งถั่วบดนี้จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเด็กๆได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ สำหรับลูกบ้านไหนที่มีอาการท้องผูก หากทานถั่วบดเป็นประจำ รับรองว่าอาการท้องผูกเหล่านั้นจะดีขึ้นมากอย่างแน่นอน […]
5 เคล็ดลับ ก่อนกลับไปทำงาน ของคุณแม่หลังคลอด
สำหรับคุณแม่ที่ลางานเพื่อมาคลอดลูกนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสามารถลาได้สูงสุดภายใน 3 เดือน เมื่อถึงเวลาแล้วก็จำเป็นต้องบอกลาลูกน้อยเพื่อกลับไปเริ่มทำงานใหม่เช่นเดิม ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องใจหายและไม่อยากจากลูกน้อยไปอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่เกิดจนถึง 3 เดือนเริ่มเกิดความผูกพัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ด้วยหน้าที่การงานที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็จำเป็นต้องเตรียมการก่อนกลับไปทำงานไว้ให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดความติดขัดหลังจากกลับไปทำงานแล้วนั่นเอง วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับ สำหรับการคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานมาไว้ เพื่อเตรียมการเลี้ยงลูกน้อยผ่านทางระยะใกล้ให้ได้สมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง คุณแม่จะต้องเตรียมอะไรไว้บ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เตรียมหาคนดูแลลูกน้อย ก่อนที่จะกลับไปทำงานคุณแม่จะต้องเตรียมตัวหาคนที่จะมาดูแลลูกแทน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคุณย่า คุณยายที่จะเข้ามามีบทบาทแทนคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน เพราะท่านจะคอยดูแลหลานอย่างเต็มที่ด้วยความจริงใจ ซึ่งหากเป็นคุณย่า คุณยายแล้วล่ะก็ จะทำให้คุณรู่สึกอุ่นใจ และวางใจกลับไปทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าลูกน้อยของเราจะได้รับอันตรายหรือไม่ แต่สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไว้วางใจได้ก็คงต้องมองหาเนอสเซอรี่ที่มีคุณภาพ แวดล้อมไปด้วยสังคมที่ดี สภาพแวดล้อมดี เพื่อฝากลูกเราไว้ในเวลากลางวันที่ต้องไปทำงานนั่นเอง 2. สิ่งที่คุณแม่ต้องเตรียมหลังกลับไปทำงาน หากคุณแม่ต้องฝากลูกไว้กับญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัด สิ่งที่ต้องเตรียมให้ลูกน้อยคือของใช้จำเป็นทั้งหมดที่ลูกต้องใช้ อาทิ ผ้าอ้อม แพมเพิส น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม อุปกรณ์ล้างขวดนม เครื่องปั๊มนม ขวดนม เสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งของใช้เหล่านี้เราจะอำนวยความสะดวกให้กับคนที่คอยดูแลลูกให้เราอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานจะลดความวุ่นวาย และลดปัญหาการขาดสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับลูกนั่นเอง 3. คุณแม่ต้องมีแผนสำรองเสมอ ซึ่งเหตุฉุกเฉินมักเกิดขึ้นได้เสมอ หลังจากที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงานแล้ว ในบางวันต้องมีประชุมจนถึงค่ำ จะให้ใครไปรับลูกแทน […]
คุณแม่น้ำนมน้อยห้ามพลาด เคล็ดลับเพิ่มน้ำนม อยากมีนมพอให้ลูกทานต้องลอง
น้ำนมแม่ถือเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาหลักที่คุณแม่ให้นมประสบพบเจอ สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่อยู่ในช่วงให้นมลูกทานแล้วพบว่าน้ำนมไม่ไหล หรือมีน้ำนมน้อย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคุณแม่ อาจก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และความคาดหวังตามมา ปัญหาเหล่านี้จะทำให้คุณแม่ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข ซึ่งปัญหาน้ำนมน้อย หรือน้ำนมไม่พอให้ลูกทานนั้น มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำนมของคุณแม่ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการให้นมลูกช้าเกินไปหลังคลอด การให้นมไม่สม่ำเสมอ การให้นมเสริมกับลูกน้อย การใช้ยาบางชนิดที่มีผลกระทบต่อปริมาณน้ำนม การทานอาหารของคุณแม่ รวมถึงปัญหาจากสุขภาพของคุณแม่ อาทิ ความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีหลายปัจจัยมากที่ทำให้ปริมาณน้ำนมของคุณแม่นั้นน้อยลงจนไม่พอให้ลูกทาน วันนี้เราจึงรวบรวมเคล็ดลับในการเพิ่มปริมาณน้ำนมให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย ช่วยให้ลูกน้อยได้รับนมแม่ในช่วงแรกเกิดได้อย่างเพียงพอนั่นเอง จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. ให้ลูกน้อยดูดนม เพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้เพียงพอในทุกๆมื้อ โดยจะให้ดูดกระตุ้นบ่อยๆในช่วงเวลาเดิมสม่ำเสมอ ร่างกายจะจดจำและผลิตน้ำนมออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งการให้ลูกน้อยดูดนมนั้นเป็นวิธีที่สามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่คุณแม่ไม่ต้องทานอาหารเสริมเสริมใดๆเลย ซึ่งการให้ลูกดูดเต้าอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะกระตุ้นการผลิตน้ำนมแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยระบายน้ำนมให้ออกจากเต้าได้เป็นอย่างดี ลดการเกิดเต้านมอักเสบ ลดการคัดเต้าและการเจ็บปวดเต้านมได้เป็นอย่างดี ยิ่งคุณแม่ให้ลูกน้อยดูดเต้านมบ่อยเท่าใด ร่างกายก็จะกระตุ้นฮอร์โมนให้ผลิตน้ำนมให้สูงมากขึ้นเท่านั้น 2. ปั๊มนมให้บ่อยมากขึ้น จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมให้กับคุณแม่ได้ เนื่องจากการปั๊มนมจะเลียนแบบการดูดนมของลูกน้อย ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ผลิตน้ำนมมากยิ่งขึ้นเพื่อเพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยนั่นเอง ดังนั้นแนะนำให้คุณแม่ปั๊มนมออกบ่อยๆอย่างน้อย ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ จะกระตุ้นร่างกายให้จดจำช่วงเวลาและผลิตน้ำนมออกมามายิ่งขึ้นตามช่วงเวลาเหล่านั้นนั่นเอง 3. การนวดเต้านม การนวดเต้านมการนวดเต้านมจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนต่างๆได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการกระบวนการสร้างน้ำนม จะช่วยให้คุณแม่มีปริมาณน้ำนมเพิ่มมากขึ้นได้ […]
ห้ามพลาด กับคำถามยอดฮิตของคุณแม่หลังคลอด
สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการตั้งครรภ์มานั้นจะต้องมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งหลังจากที่คุณแม่คลอดลูกแล้วจะพบกับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจึงทำให้คุณแม่พบกับปัญหามากมายหลังคลอดวันนี้เราจึงมีคำแนะนำและรวบรวมคำถามสำหรับคุณแม่หลังคลอดมาฝากกัน เพื่อพร้อมรับมือและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะมีคำถามใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. มดลูกจะเข้าอู่เมื่อไหร่ ถือเป็นคำถามยอดฮิตที่คุณแม่หลายคนสงสัย โดยปกติแล้ว หลังคลอดลูกขนาดของมดลูกจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่มักใช้ระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด 2. อาการ baby blue คืออะไรและต้องรับมืออย่างไร อาการ baby blue คือภาวะซึมเศร้าหลังคลอดซึ่งคุณแม่ทุกคนสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในระหว่างที่ตั้งครรภ์ซึ่งร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนกับโพรเจสเทอโรนสูงมาก หลังจากที่คลอดลูกแล้วฮอร์โมน 2 ตัวนี้จะลดต่ำลงในทันทีทำให้คุณแม่มีความไวต่อความรู้สึกมาก มีภาวะซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย หรือร้ายแรงจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายตัวเองหรือถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเพื่อช่วยดึงออกมาจากความรู้สึกแย่ๆและช่วยทำให้จิตใจสงบและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ในกรณีที่คุณแม่บางคนมีอาการหนักจำเป็นจะต้องพบจิตแพทย์เพื่อให้ดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับคำแนะนำในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง 3. ผื่นแพ้หลังคลอดเกิดจากอะไร เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณแม่ส่วนใหญ่จะต้องพบกับผื่นแพ้เหล่านี้ ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายเมื่อสัมผัสสิ่งต่างๆอาจเกิดการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ สามารถแก้ไขได้โดยง่ายคือ เลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัดเพราะจะไปชะล้างไขมันทำให้ผิวหนังให้แห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น รวมถึงทา moisturizer บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ 4. ประจําเดือนไม่มาหลังคลอด เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คุณแม่หลายคนสงสัยโดยปกติแล้วหลังคลอดบุตรถ้าไม่ได้ให้นมประจำเดือนจะมาภายใน 6 สัปดาห์แต่ถ้าคุณแม่ท่านไหนที่ให้นมบุตรอยู่ร่างกายจะมีกระบวนการยับยั้งไม่ให้มีการไข่ตกซึ่งถือเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวล คำแนะนำคือ คุณแม่จะคลอดควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุลมากยิ่งขึ้น และจะช่วยให้รังไข่กลับมาทำงานได้เป็นปกติ 5. หน้าท้องมีสีดำคล้ำเกิดจากอะไร หลังคลอดลูกฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ผลิตออกมามากกว่าปกติ […]
เรื่องน่ารู้ของการผ่าคลอดและข้อจำกัดในการคลอด
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น เมื่อถึงเวลาคุณแม่จะต้องเลือกวิธีการคลอด ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีคลอดหลักๆอยู่ 2 วิธีคือการคลอดแบบธรรมชาติและการผ่าคลอด ซึ่งการคลอดทั้ง 2 วิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งแน่นอนว่าการคลอดธรรมชาติย่อมมีผลดีต่อทารกในครรภ์มากกว่าอยู่แล้ว เนื่องจากเด็กที่ผ่านการคลอดธรรมชาติจะมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงกว่าเด็กที่ผ่าคลอด แต่ในปัจจุบันนี้โดยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าผสมผสานกับเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยทำให้การผ่าคลอดนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งการผ่าคลอดนี้ คุณหมอจะพิจารณาจากสภาวะครรภ์ในปัจจุบันของคุณแม่ เช่น ทารกมีขนาดใหญ่เกินไป ทารกอยู่ในท่าทางที่ผิดปกติ เช่น ท่าก้น ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ การผ่าคลอดจะปลอดภัยสำหรับเด็กมากกว่า วันนี้เราจึงรวบรวมสาระดีๆเกี่ยวกับการผ่าคลอดมาฝากกัน หากคุณแม่ท่านใดกำลังลังเลว่าคลอดแบบไหนดี สาระเหล่านี้อาจจะช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ไปติดตามกัน 1. การผ่าคลอด ในกรณีที่คุณแม่ต้องการผ่าคลอด จะต้องผ่านการพิจารณาจากคุณหมอโดยมีข้อบ่งชี้ดังนี้ ทารกมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ ซึ่งการคลอดธรรมชาติอาจเป็นไปได้ยากและอาจเกิดอันตรายกับทารกได้คุณหมอจึงอาจพิจารณาให้เป็นการผ่าคลอดแทน กรณีที่ทารกมีท่าทางที่ผิดปกติเช่นอยู่ในท่าก้นหรือถ้านอนขวางจะทำให้เกิดอุปสรรคขนาดทำคลอดธรรมชาติได้คุณหมอจะพิจารณาเป็นการผ่าคลอดแทน ในกรณีที่ทารกมีอาการผิดปกติเช่นมีภาวะขาดออกซิเจนหรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติก็จะใช้วิธีการผ่าคลอดแทน รวมถึงคุณแม่ที่มีภาวะรกเกาะต่ำจนทำให้รถเคลื่อนตัวลงมาปิดปากมดลูกทำให้ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้หรือในคุณแม่ที่เป็นโรคแทรกซ้อนเช่นมีเนื้องอกในมดลูก ครรภ์เป็นพิษ เอดส์ เริม การผ่าคลอดจะปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์มากที่สุด 2. วิธีการผ่าคลอด มีทั้งหมด 2 ลักษณะคือการผ่าคลอดแบบแนวตั้งและการผ่าคลอดแบบแนวนอนซึ่งทั้งสองลักษณะนี้จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันคือการผ่าแบบแนวตั้งจะเริ่มตั้งแต่ใต้สะดือลงมาจนถึงกลางหัวหน่าว จะเป็นการผ่าลึกลงไปถึง 7 ชั้น โดยแผลผ่าตัดจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 10 เซนติเมตร ข้อดีของการผ่าคลอดแบบแนวตั้งคือใช้เวลาในการทำคลอดได้เร็วกว่าแนวนอน เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องการคลอดอย่างเร่งด่วน เช่นปวดท้องแต่ไม่สามารถคลอดเองได้ แหมเด็กที่อยู่ผิดท่าและมีขนาดตัวใหญ่มากการผ่าตัดแนวตั้งจะช่วยให้คลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยมากกว่า แต่ข้อเสียคือแผลมีขนาดที่ใหญ่และเด่นมากกว่าแบบแนวนอน เจ็บแผลมากกว่า รวมถึงต้องได้รับการฟื้นตัวนานกว่าแผลแนวนอน […]
เทคนิคดูแลแผลผ่าคลอด ให้เนียนสวย ไม่อักเสบ
ปัจจุบันการคลอดลูกนั้นมีด้วยกันหลักๆ 2 วิธี คือการคลอดธรรมชาติ และการผ่าคลอด ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล ทันสมัยมากยิ่งขึ้น จึงทำให้มีคุณแม่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่เลือกวิธีการผ่าคลอด อาจด้วยมาจากหลายสาเหตุ เช่น ทารกมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าปกติ คุณแม่ตัวเล็ก อุ้งเชิงกรานแคบทำให้คลอดลำบาก เป็นต้น จึงทำให้คุณแม่เลือกที่จะผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์นั่นเอง ซึ่งการผ่าคลอดนั้นมีทั้งหมด 2 แบบ คือผ่าคลอดแนวตั้ง และผ่าคลอดแนวนอน การผ่าคลอดแนวตั้งจะทำในกรณีที่ต้องการนำเด็กออกมาโดยเร็วเหมาะกับการคลอดก่อนกำหนด ส่วนการผ่าคลอดแนวนอนจะกรีดตามแนวขวางบริเวณเหนือหัวหน่าวประมาณ 2-3 เซนติเมตร การผ่าคลอดแบบนี้นิยมมากกว่าแบบแรก ข้อดีคือแผลที่ได้จากสวยกว่า ไม่เห็นเป็นรอยแผลเป็นเนื่องจากอยู่ที่ขอบบิกินี่ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อ้วนมาก เนื่องจากไขมันหน้าท้องจะไม่มาบางแผลทำให้เย็บง่ายกว่าและการถามแบบนี้ทำให้ปวดแผลหลังผ่าตัดน้อยกว่าแบบแนวดิ่งนั่นเอง หลังจากทำการผ่าตัดแล้ว คุณแม่ต้องดูแลแผลผ่าคลอดไม่ให้เกิดการติดเชื้อและเพื่อแผลที่สวยเนียน วันนี้เราจึงนำเทคนิคการดูแลแผลผ่าคลอดไม่ให้เกิดรอยนูนมาฝากกัน จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. เดินบ่อยๆ หลังจากผ่าคลอดเสร็จแล้ว 1 คืนคุณแม่ควรขยับหรือเคลื่อนไหวร่างกายรวมถึงเดินบ่อยๆเพื่อช่วยลดการเกิดพังผืดที่มดลูกและไม่ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายในอนาคตได้ หรือหากจำเป็นต้องขึ้นลงบันไดควรต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงเพื่อลดการกระทบกระเทือน 2. ห้ามเปิดแผลจนกว่าแผลจะแห้งสนิท ซึ่งหลังจากที่ผ่าตัดเสร็จแล้วแพทย์จะทำการปิดแผลไว้ให้เพื่อป้องกันแผลผ่าตัดโดนน้ำและอาจเกิดการอักเสบได้ คุณแม่จึงควรใช้วิธีการเช็ดตัวประมาณ 7 วันถึงจะกลับมาอาบน้ำได้ตามปกติรวมถึงควรเลือกใช้สบู่ที่มีฤทธิ์อ่อนและห้ามถูบริเวณที่เป็นแผลและที่สำคัญไม่ควรแช่น้ำในอ่างอาบน้ำ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วควรใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับแผลให้แห้งทุกครั้งเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ 3. งดการยกของหนัก คุณแม่ที่ผ่าคลอดในช่วง 3 เดือนแรกงดการยกของหนักและเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องซึ่งอาจทำให้รู้สึกเจ็บแผลผ่าคลอดและอาจทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติส่งผลให้แผลเป็นนั้นมีรอยนูนขึ้นมาได้ 4. สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ารัดลูกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีที่แผล […]
10 ข้อห้ามในการ เลี้ยงทารก อัพเดท ปี 2021
สำหรับพ่อแม่มือใหม่ต้องยอมรับเลยว่าการเลี้ยงดูเด็กทารกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องมีการปรับตัวค่อนข้างมากเลยทีเดียว การที่ต้องรับผิดชอบกับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเติบโตมาในแบบที่คุณเลี้ยงดูนั้น อาจทำให้พ่อแม่บางคนรู้สึกกดดัน ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่คุณ มีความกังวลในหลายๆ เรื่องที่จะเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นพ่อแม่มือใหม่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเลี้ยงเด็กทารก ต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เลี้ยงลูกน้อยให้ถูกต้อง ให้เขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ และที่สำคัญ การเลี้ยงดูของเราจะต้องไม่ทำร้ายเขาทางอ้อมโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ วันนี้เราจึงมีข้อห้ามในการเลี้ยงเด็กทารกมาฝากกัน เพื่อที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะได้ปฏิบัติกับลูกน้อยได้อย่างถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับเขานั่นเอง 1. ห้ามโยนทารกขึ้นลง การเล่นกับเด็กทารกสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากเลยคือห้ามโยนขึ้นลง เพราะศีรษะของเด็กทารกนั้นยังบอบบางมาก การโยนขึ้นลงนั้นจะทำให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน เมื่อหัวโยกไปมาแรงๆ อาจส่งผลให้มีเลือดออกในสมองได้เช่นกัน รวมถึงท่าที่เล่นกับลูกน้อยเช่นนี้ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้สูง คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก 2. ห้ามดึงดั้งให้โด่ง ตามความเชื่อสมัยโบราณที่เชื่อกันว่า หากดึงดั้งลูกตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้จมูกโด่งขึ้นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด การบีบบริเวณสันจมูกของเด็กทารกนั้นจะเสี่ยงต่อการอักเสบที่ชั้นใต้ผิวหนัง เพราะเนื้อเยื่อของเด็กทารกนั้นบอบบาง หากถูกบีบซ้ำๆ ที่บริเวณเดิมจะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อขึ้นได้ 3. ห้ามคาดหวังมากเกินไป อีกข้อห้ามหนึ่ง ที่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูกน้อยได้นั่นก็คือการคาดหวังในตัวเขา ให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการ ซึ่งการคาดหวังนั้นจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่แย่ลง มีความคิดที่จำกัด ไม่เปิดกว้าง และไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการให้ดีที่สุด เพื่อพัฒนาการที่ดีทั้งทางสติปัญญาและอารมณ์ 4. ฉี่เช็ดลิ้น ถือเป็นข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก เป็นความเชื่อสมัยโบราณที่นำฉี่มากวาดลิ้นเพื่อรักษาฝ้าขาว ที่เมื่อปล่อยไว้นานจะกลายเป็นเชื้อราได้ การใช้ฉี่เช็ดลิ้นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องปากได้ 5. แป้งฝุ่นโรยตัว เป็นอีกข้อห้ามหนึ่งในการเลี้ยงทารก […]
10 วิธีแก้ปัญหาเมื่อ เด็กร้องไห้ อัพเดท ปี 2021
ปัญหาลูกร้องไห้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พ่อแม่มือใหม่จะต้องรับมือและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเลี้ยงเด็กทารกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีการปรับตัวกับการเลี้ยงลูกอย่างมากเลยทีเดียว เรียนรู้พฤติกรรมของลูกน้อย ต้องพบกับบททดสอบมากมายที่เรียกได้ว่าไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน ซึ่งการเลี้ยงเด็กทารกนั้นสิ่งเดียวที่ลูกน้อยจะสามารถสื่อสารกับเราได้ว่าเขารู้สึกไม่สบายตัวหรือมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกนั่นก็คือการส่งเสียงร้องไห้นั่นเอง ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องคอยรับมือและต้องพบเจอในทุกๆวันอย่างแน่นอน ดังนั้น วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการรับมือกับลูกน้อยที่ร้องไห้งอแงมาฝากกัน ซึ่งจะเป็นวิธีในการปลอบลูกน้อยให้หยุดร้องไห้อย่างอ่อนโยน จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. การอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด เรียกได้ว่าเป็นวิธีพื้นฐานที่แม่ๆ ส่วนใหญ่เลือกทำกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุด สัมผัสรักจากอ้อมกอดที่อบอุ่นของพ่อแม่นี้จะช่วยปลอบประโลมลูกน้อยให้รู้สึกอบอุ่น ใจเย็น และนิ่งสงบได้อย่างรวดเร็ว โดยจะให้ลูกน้อยหันหน้าเข้าซบกับอกของคุณพ่อคุณแม่ พร้อมกับเดินไปมาเพื่อให้เกิดความเพลินเพลิน และทำให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น 2. ห่อตัวลูกด้วยผ้า ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเด็กทารก ที่เขาเพิ่งออกมาเผชิญสู่สภาวะภายนอก ที่กว้างมากขึ้นกว่าในท้องคุณแม่อย่างมาก การก่อตัวลูกน้อยจะช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยเหมือนได้อยู่ในท้องแม่ ช่วยให้ลูกน้อยค่อยๆ ปรับตัวสู่โลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผ้าก่อตัวที่ใช้จะต้องไม่บางหรือหนาจนเกินไป โดยจะห่อตั้งแต่ช่วงลำตัว ขา รวมถึงแขนด้วย เมื่อห่อแล้วควรให้ลูกนอนหงายเพื่อความสบายตัวนั่นเอง 3. การเปลี่ยนท่าอุ้ม ก็สามารถหยุดอาการร้องไห้งอแงของลูกน้อยได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่เด็กๆ จะชอบท่าซูเปอร์แมน ทำได้โดยจับลูกน้อยนอนคว่ำบนแขนทั้งสองข้าง จากนั้นโยกไปมาเบาๆ เคลื่อนไหวช้าๆ ลูกน้อยจะรู้สึกเพลิดเพลิน จะทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำ เขาจะเกิดความคุ้นเคยแล้วค่อยๆ หยุดร้องไห้ลง 4. การนวดสัมผัส เบาๆ ด้วยรักจากคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลาย […]