6 ความพร้อมที่ต้องเตรียม เมื่อลูกอยากเลี้ยงสัตว์

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลี้ยงสัตว์ในยุคสมัยนี้นั้นมีผลต่อสภาพจิตใจของเด็กๆเป็นอย่างมาก การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภายในบ้านมีประโยชน์จะช่วย บ่มเพาะให้ลูกน้อยมีนิสัยอ่อนโยน มีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้นและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แต่การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแต่ละตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆให้ดีที่สุด ซึ่งก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะอนุญาตให้ลูกนั้นเลี้ยงสัตว์ได้ จะต้องประเมินความพร้อมของลูกด้วย ทั้งความพร้อมทางด้านวุฒิภาวะ และความพร้อมในด้านของสุขภาพร่างกายซึ่งมีผลสำคัญต่อพัฒนาการ และการเจริญเติบโตของลูกด้วยเช่นกัน วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเตรียมความพร้อม เมื่อลูกอยากเลี้ยงสัตว์มาฝากกัน จะ มีรายละเอียดอะไรบ้างนั้นติดตามกันเลย 1. ความพร้อมในเรื่องของสุขภาพ เรื่องสุขภาพเป็นสิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญ ก่อนที่เราจะเลี้ยงสัตว์และสุขภาพของคนในครอบครัวต้องเป็นอันดับ 1  ทางสุขภาพของลูกน้อยและสุขภาพของผู้สูงอายุภายในบ้าน หากมีสมาชิกภายในบ้านแพ้ขนสัตว์เด็กมีอาการหวาดกลัวต่อสัตว์บางชนิดแล้วนั้นมันจะส่งผลกระทบ ตามนั้นก่อนจะตัดสินใจเลี้ยงสัตว์ควรจะเช็คความพร้อมตรงส่วนนี้เป็นอันดับแรก  2. ความพร้อมในเรื่องของพื้นที่ เพราะสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดจะใช้พื้นที่ในการเลี้ยงที่แตกต่างกัน การเตรียมความพร้อมในเรื่องของพื้นที่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น สัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก อย่างกระต่าย หนูแฮมเตอร์ นก แมลง สัตว์เหล่านี้จำเป็นต้องมีพื้นที่ราบโล่งหรือโถและต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น แต่ถ้าหากคุณต้องการ เลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ อย่างสุนัขพันธุ์ใหญ่ หรือมาที่เป็นสัตว์ 4 ขา คุณจำเป็นต้องมีพื้นที่บ้านที่เป็นสวนหรือสนามให้เขาหรือสัตว์เหล่านั้นได้วิ่งเล่นเพื่อผ่อนคลายและลดความตึงเครียดลง ยิ่งสัตว์ตัวใหญ่ยิ่งต้องปลดปล่อยพลังงานมาก ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องเตรียมพื้นที่ภายในบ้านหรือสวนสนามไว้ให้กับเขา 3. ความพร้อมในเรื่องของค่าใช้จ่าย การตัดสินใจดูแลสิ่งมีชีวิตเพิ่มเข้ามาในบ้านนั้นก็เหมือนเป็นอีกหนึ่งสมาชิกภายในบ้านที่จะต้องดูแลเอาใจใส่ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ชนิดไหนพันธุ์อะไรล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายด้วยกันทั้งสิ้น คุณจะต้องวางแผนการเงินในระยะยาว และแบ่งส่วนค่าใช้จ่ายภายในบ้านไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงของคุณ หรือ หากเกิดในกรณีที่ไม่คาดฝันสัตว์เลี้ยงของคุณป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุคุณจะต้องมีทุนเพียงพอไว้สำหรับช่วยเหลือเขา เป็นต้น 4. ความพร้อมในเรื่องของเวลา […]

5 เหตุผล นิสัยลูกน้อยที่ชอบดื้อกับแม่มากกว่าคนอื่นๆ 

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

การเลี้ยงลูกน้อยนั้นถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความอดทนของความเป็นแม่เลยก็ว่าได้ คุณแม่นั้นจะต้องมีความมั่นคงทั้งทางอารมณ์และจิตใจ จึงจะสามารถสั่งสอนและเลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพ แต่คุณไม่เคยสงสัยไหมคะว่า ลูกน้อยอยู่กับคนอื่นมากน่ารัก เรียบร้อย ไม่ดื้อ ไม่ซน แต่พอมาอยู่กับแม่นิสัยนั้นเปลี่ยนเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว กลายเป็นเด็กที่ขี้งอแง เอาแต่ใจ ไม่ฟังเหตุผล วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันสำหรับนิสัยส่วนตัวขอเด็กๆ ที่มักดื้อกับคุณแม่แค่คนเดียว 1. ลูกมักทดสอบความแข็งแกร่งของแม่ ในบางครั้งที่ลูกนั้นดื้อมาก โดยเฉพาะกับแม่ บางทีเขาอาจจะกำลังอยากทดสอบแม่ของเขาอยู่ ว่าจะมีความอดทนและมีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจได้มากขนาดไหน ซึ่งนิสัยส่วนตัวของเด็กๆแล้วมักอยากให้คุณแม่หรือคนที่เขารัก สนใจเขาอยู่ตลอดเวลา และแม่เป็นบุคคลที่เขาไว้ใจมากที่สุด สนิทที่สุด จึงไม่แปลกที่ลูกมักจะดื้อกับคุณแม่เป็นส่วนใหญ่ เขาจึงรักชอบเรียกร้องความสนใจจากแม่เป็นอย่างมาก  2. ลูกไว้ใจแม่มากกว่าใครบนโลกนี้ ที่ลูกนั้นดื้อโดยเฉพาะกับคุณแม่ เป็นเพราะเขารู้ว่า แม่นั้นคือคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด และไม่มีวันหักหลังเขา ซึ่งช่วงเวลาในวัยเด็กนั้นลูกยังคงไม่มีใครที่เขาไว้ใจและเชื่อใจได้มากที่สุดเท่ากับแม่ ซึ่งเขาจะรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้อยู่ใกล้แม่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามักแสดงนิสัยทุกด้านของเขาออกมาเมื่ออยู่กับแม่ เราจะมีความมั่นใจมากและเป็นตัวของตัวเองที่สุดไม่ได้อยู่กับแม่นั่นเอง 3. ต้องการให้แม่นั้นสนใจเขามากที่สุด เขาจะรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากเมื่ออยู่กับแม่ และวิธีง่ายๆที่จะทำให้แม่นั้นให้ความสำคัญกับเขามากขึ้นก็คือการดื้อรั้นนั่นเอง หากคุณแม่กำลังประสบกับปัญหานี้อยู่สิ่งที่ห้ามและไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการพูดเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกของคนอื่นอย่างเด็ดขาด เพราะจะสร้างบาดแผลในใจเขาในอนาคตได้ วิธีแก้ไขคือคุณแม่เพียงใส่ใจและดูแลเขาเป็นพิเศษ จะทำให้ลูกนั้นได้รับรู้ถึงความที่แม่นั้นมีต่อลูกนั่นเอง 4. เพราะแม่คือคนที่ปลอดภัยที่สุด ในความคิดของลูกเชื่อว่าแม่นั้นเป็นคนที่ปลอดภัยที่สุด อยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ มั่นใจ และรู้สึกอบอุ่น  เขาจะเชื่อมั่นและรู้ว่าแม่นั้นไม่มีทางทำลายชีวิตเขาและพร้อมที่จะให้อภัยเขาเมื่อเขาทำผิดเสมอ จึงไม่แปลกที่ลูกนั้นมักจะทดสอบเราอยู่บ่อยๆ โดยการดื้อรั้น เอาแต่ใจ ให้เราสนใจเขาให้มากที่สุด […]

5  สารอาหารห้ามพลาด ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย

อาหารสำหรับเด็ก

พัฒนาการของลูกคือสิ่งที่สำคัญและเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านต่างก็มีความคาดหวังให้ลูกนั้นมีพัฒนาการที่ดี ฉลาดสมวัย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าพัฒนาการที่ดีเหล่านี้นั้นสามารถสร้างได้ด้วยแหล่งอาหารชั้นเลิศในแต่ละมื้อ ที่คุณพ่อคุณแม่หาให้ลูกรับประทาน โดยสารอาหารที่จำเป็นเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการต่างๆของลูกทั้งในเรื่องของสุขภาพร่างกาย พัฒนาการทางด้านสมองและพัฒนาการทางด้านระบบประสาทและสายตา โดยสารอาหารเหล่านั้นจำเป็นและจะต้องให้ลูกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะมีอะไรบ้างไปติดตามกันเลย 1. DHA เรียกได้ว่าเป็นสารอาหารหลักที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก  ซึ่งสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง โดย DHA นั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์โดยเฉพาะโครงสร้างในระบบประสาทและสมองของมนุษย์  นั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์โดยเฉพาะโครงสร้างในระบบประสาทและสมองของมนุษย์ ยิ่งในวัยเด็กด้วยแล้วล่ะก็ จำเป็นต้องได้รับสารอาหารชนิดนี้อย่างเพียงพอเพื่อที่จะได้พัฒนาระบบประสาทและสมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ DHA ยังช่วยสร้างในเรื่องของเหตุผลการเรียนรู้และควบคุมกล้ามเนื้อรวมถึงการใช้สายตาที่สัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย  เด็กที่ได้รับ DHA อย่างเพียงพอจะมีความจำที่ดีมีทักษะกระบวนการความคิดและวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ   ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูก รับประทาน นมแม่ ปลาทะเลน้ำ ปลาแซลมอน ทูน่า ปลาน้ำจืดที่มีไขมันสูงเช่น ปลาสวาย  ปลาช่อน ปลาดุก  2. Omega 6  เป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกายซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองเช่นเดียวกับโอเมก้า 3  คุณพ่อคุณแม่สามารถ ประกอบอาหารให้ลูกทานโดยเน้นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน จมูกข้าว หรือรวมไปถึงถั่วชนิดต่างๆที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 6 เมื่อร่างกายของลูกน้อยได้รับปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง การทำงานของสมองและหัวใจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย  3. โอเมก้า 9  มีประโยชน์ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์สมอง ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวแตกต่างจาก […]

5 ข้อควรระวัง เป็นพ่อแม่หัวโบราณกำหนดกรอบให้ลูกโดยไม่รู้ตัว

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทัศนคตินั้นมีอิทธิพลต่อความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสังคมในครอบครัว ยิ่งบ้านใดมีญาติผู้ใหญ่วัยสูงอายุมีโอกาสสูงมากที่จะพบกับปัญหานี้ ซึ่งการเลี้ยงลูกในปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับเลยว่าการเลี้ยงดูในรูปแบบเก่าและไม่สามารถตอบโจทย์ ได้อย่างครบถ้วน ระบบความคิดและการอบรมสั่งสอนของคนยุคเก่าและยุคใหม่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาจจะมีบางข้อที่ยังสามารถ นำทัศนคติแบบเก่ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับลูกในยุคใหม่ได้ ซึ่งบางครั้งการสั่งสอนในรูปแบบเก่านั้นก็มีข้อดีมากมาย แต่บางข้อต้องยอมรับเลยว่า เป็นความเชื่อที่ผิด ดังนั้นการเลี้ยงลูกตามคุณหมอจึงเป็นสิ่งที่ดีและเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดังนั้น วันนี้เราจึงมีข้อควรระวังของการเป็นคุณแม่ของโบราณที่อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกในปัจจุบันได้จะมีลักษณะอย่างไรบ้างนั้นเป็นไปตามกันเลย 1. ใช้เพศเป็นตัวกำหนดในการเลือกความชอบให้กับลูก ในบางครั้งคุณพ่อคุณแม่เองอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก และอาจจะมีค่านิยมปลูกฝังกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเด็กผู้หญิงจะต้องชอบสีชมพูในขณะเดียวกันเด็กผู้ชายส่วนมากมักชอบสีฟ้า ซึ่งการยัดเยียดความชอบในรูปแบบนี้นั้นอาจส่งผลให้ลูกเกิดความลำบากใจในอนาคตได้ และอาจจะจำกัดความชื่นชอบของลูกไว้ภายในกรอบของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งสิ่งที่ควรทำจริงๆนั้นควรให้ลูกเลือกในสิ่งที่เขาชอบเอง 2. ใช้วิธีการดุด่าหรือตีเพื่อสั่งสอน ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล และคนเฒ่าคนแก่มักปลูกฝังว่ามันคือวิธีที่ถูกต้อง ซึ่งในความจริงแล้วนั้น การปลูกฝังหรือสร้างความหวาดกลัวให้กับลูกนั้นจะทำให้ลูกเกิดความฝังใจ หรือในบางครั้งนั้นสิ่งที่ลูกทำมันผิด แต่ถูกสั่งสอนด้วยวิธีการตี หรือด่าจนลูกกลัว ลูกจึงเลิกทำสิ่งนั้นเพราะกลัวถูกดุด่าไม่ได้เป็นเพราะตระหนักรู้ในสิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นจะส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคต  3. ตามติดทุกฝีก้าวเพราะกลัวลูกจะเหลวไหล วิธีการเลี้ยงลูกแบบนี้นั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่าเขาถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีอิสระ จนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ซึ่งการเลี้ยงลูกเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อเขาทำให้เขาไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลยในอนาคตเพราะกลัวจะทำผิดกฎระเบียบต่างๆที่คุณสร้างขึ้นมา ทางที่ดีคุณควรสร้างสมดุลทั้งเวลาจับและเวลาปล่อยให้สมดุลกันให้ลูกได้มีอิสระและมีโอกาสได้ใช้ความคิดของตัวเองบ้าง จะทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น 4. เลือกสิ่งที่คิดว่าจะมั่นคงสำหรับลูกและอ้างว่าเพื่ออนาคต การหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนั้นเป็น หน้าที่ที่สำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคุณพ่อคุณแม่จะต้องถามความสมัครใจและความรู้สึกของลูกเป็นอันดับแรก ว่าเขาต้องการหรือว่าชื่นชอบในสิ่งที่คุณเลือกให้หรือไม่ เช่น การส่งเสริมการเรียนพิเศษ การเลือกคู่ครอง เป็นต้น ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจจะต้องเคารพในความรู้สึกของลูกด้วย 5. ความคิดของพ่อแม่ถูกเสมอ […]

4 ปัญหา เด็กทานยาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปัญหาเด็กทานยากเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านจะต้องประสบกับปัญหานี้อย่างแน่นอน ซึ่งถือเป็นปัญหาโลกแตกและเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ปกครองเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องหาวิธีที่ให้ลูกน้อยนั้นทานให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถ้าหากลูกทานอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้เขาเจริญเติบโตได้อย่างสมวัย  และมีพัฒนาการที่ดีในอนาคต วันนี้เราจึงมีข้อมูลผลกระทบของเด็กที่ทานยากมาฝากกันสำหรับบ้านไหนที่กำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. สำหรับเด็กไม่ยอมทานผัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เด็กน้อยชอบอาหารที่มีรสชาติหวาน ดังนั้นผักจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจที่เด็กนั้นหลีกเลี่ยงและไม่ชอบเป็นอย่างมาก ด้วยรสชาติที่ขมและมีกลิ่นเหม็นเขียวรวมทั้งมีเนื้อสัมผัสที่หยาบเพราะเป็นกากใยสูงจึงทำให้เด็กนั้นไม่ชอบทานนั่นเอง แต่ผักและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ กากใยและสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีนั่นเอง  อีกทั้งผักยังช่วยบำรุงสายตา กระดูก บำรุงผิวพรรณ บำรุงเหงือก รวมถึงช่วยให้ฟันนั้นแข็งแรงได้อีกด้วย แต่ถ้าลูกไม่ยอมทานผักเลย ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง ลูกจะมีปัญหาในเรื่องของระบบขับถ่าย ทำให้ท้องผูก และมีภูมิต้านทานน้อยลง สำหรับวิธีการแก้ไขคือให้ลูกลองทานผักที่หลากหลายอย่างละเล็กน้อยหรืออาจจะเป็นผักแปรรูปก็ได้เช่นกันจะช่วยให้เขายอมทานผักและได้สารอาหารมากยิ่งขึ้น 2. สำหรับเด็กไม่ยอมทานผลไม้ ขอด้วยรสชาติและกลิ่นของผลไม้บางชนิดทำให้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ลูกนั้นไม่ยอมทานผลไม้หรือเก็บผลไม้ชนิดอื่นไปด้วย ซึ่งผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างมากอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ และกากใยอาหาร และมีสารต้านอนุมูล โดยเฉพาะในผลไม้รสเปรี้ยวซึ่งจะมีวิตามินซีสูง วิตามินที่สำคัญเหล่านี้จะไปช่วยเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายให้แข็งแรง เช่นในระบบหลอดเลือด กระดูกอ่อน สารสื่อประสาทในสมอง รวมถึง 9 เนื้อเป็นต้น นอกจากนี้ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงยังช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันให้กับลูก ช่วยลดการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ถ้าหากลูกไม่ยอมทานผลไม้จะส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และทำให้สารคอลลาเจนที่ร่างกายใช้ในการหล่อลื่นและประสานการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อต่างๆและลดน้อยลงรวมถึงเด็กอาจจะมีรอยช้ำและเป็นโรคลักปิดลักเปิดได้ง่าย สำหรับวิธีแก้ไขคือลองเปลี่ยนมาให้ลูกทานเป็นน้ำคั้นผลไม้สด อาจทำให้ลูกนั้นทานผลไม้ได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง  3. เด็กไม่ยอมทานปลา มักมีปัญหาในเรื่องของผิวพรรณ พัฒนาการทางสมองล่าช้าและที่สำคัญเด็กจะขาดโอเมก้า […]

5 เหตุผล ที่ลูกไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษสักที

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษเป็นอีกหนึ่งภาษาที่จำเป็นและสำคัญมากในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับทางสากล ซึ่งสำหรับใครที่เก่งภาษาอังกฤษหรือมีความสามารถทางด้านภาษาจะสามารถได้รับโอกาสได้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่หลายๆบ้านจึงพยายามใช้ภาษาอังกฤษกับลูกและเลือกที่จะเลี้ยงลูกแบบ 2 ภาษา  แต่การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กสองภาษานั้นต้องเจอกับปัญหาอย่างแน่นอนว่าทำไมลูกถึงไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับเราสักที วันนี้เรามาดูเหตุผลกันว่าเพราะอะไรลูกถึงไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับเราสักที 1. ลูกอยู่ในช่วง Silent Period  ในช่วงนี้เด็กๆจะนิ่งเงียบและใช้เวลาในช่วงนั้นเก็บข้อมูลซึ่งเด็กแต่ละคนจะมี Silent Period ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและบุคลิกภาพของเด็กแต่ละคน เช่นเด็กบางคนที่มีพื้นฐานชอบกล้าแสดงออก ชอบพูด ไม่ว่าจะพูดถูกพูดผิดก็ชอบที่จะพูด เขาจะมี silent Period ที่สั้น แต่ถ้าลูกเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเวลาถามอะไรก็จะเงียบ ยิ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้วเราก็จะยิ่งเงียบกว่าเดิมเพราะเขาไม่กล้าที่จะพูด หรืออาจจะเข้าใจแต่ไม่รู้จะตอบยังไง จึงแสดงออกมาในลักษณะที่เงียบนิ่งแต่ถ้าเราพูดไปเรื่อยๆแล้วลูกสามารถทำตามคำสั่งได้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีแสดงว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูดนั่นเอง 2. ไม่ใช้ภาษาอังกฤษกับลูกสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ทำให้ลูกนั้นไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษสักที การที่เราอยากให้ลูกฟังพูดภาษาอังกฤษได้พ่อแม่จะต้องหมั่นพูดคุยกับลูกด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน ระวังอย่าพูดไทยคำภาษาอังกฤษคำ หรือนึกจะพูดก็พูด คุณพ่อคุณแม่จะต้องพูดจนเป็นนิสัย แนะนำว่าให้แบ่งกันไปเลยว่าใครจะพูดภาษาไหนกับลูกเช่น พ่อพูดภาษาอังกฤษ แม่พูดภาษาไทย แล้วก็ต้องคงใช้ภาษาแบบนี้ไว้จนกว่าลูกจะรู้เรื่องและใช้ภาษาอังกฤษได้โดยอัตโนมัติ  3. เพื่อนไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ทำให้ลูกของเราไม่กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ สภาพแวดล้อมนั้นมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้ของเด็กๆหลายบ้านอาจสงสัยว่าทั้งๆที่เราก็พูดภาษาอังกฤษกับลูกอยู่เป็นประจำอยู่แล้วแต่ทำไมลูกไม่ยอมเปิดใจ และไม่กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษออกมาสักที เพราะนั่นอาจหมายถึงว่าตอนที่เขาอยู่โรงเรียนเพื่อนๆอาจจะพูดกันเป็นภาษาไทยจึงทำให้เขารู้สึกว่าภาษาไทยก็ใช้คุยได้แล้วไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษนั่นเอง ดังนั้นวิธีการแก้ไขเราอาจจะต้องทำงานหนักหน่อยพยายามพูดกับลูกด้วยภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ เพราะการเรียนรู้ที่ดีและได้ผลที่สุดคือการใช้อย่างสม่ำเสมอและใช้จริงเป็นชีวิตประจำวันนั้นเอง 4. ลูกรู้สึกกดดันที่ต้องพูดให้ได้ เป็นอีกหนึ่งข้อที่ทำให้ลูกนั้นไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ เป็นเพราะเขารู้สึกไม่สนุกกับการเรียนภาษานั้นๆหรือรู้สึกถูกบังคับว่าต้องพูดให้ได้ อ่านให้ เขียนให้ได้ จนเหมือนกลายเป็นว่าทุกวันคือการเรียนภาษาอังกฤษที่แสนน่าเบื่อและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจจะทำให้ลูกนั้นเก็บกด […]

5 วิธี ชวนลูกเรียนรู้การเข้าสังคม ลดอาการลูกติดสมาร์ทโฟน

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคดิจิตอลนี้คุณแม่ส่วนใหญ่มักให้ลูกเรียนรู้จากสิ่งต่างๆรอบตัวแบบไร้ขอบเขตด้วยโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งการให้ลูกใช้สมาร์ทโฟนนั้นถือเป็นดาบสองคม มีทั้งประโยชน์และมีโทษในเวลาเดียวกัน ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่เปิดใจให้ลูกใช้สมาร์ทโฟนในการเรียนรู้จะต้องมีการกำหนดเวลาที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสลูกติดหน้าจอมือถือ หากคุณพ่อคุณแม่ไม่กำชับกำชับ โทรศัพท์มือถือตัวร้ายนี้อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในด้านต่างๆของลูกมากกว่าที่เราคิด อาจทำให้ลูกนั้นติดจอ และไม่ยอมเข้าสังคม รวมถึงพัฒนาการทางด้านต่างๆนั้นลดลงได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการชวนลูกเข้าสังคมเพื่อลดโอกาสลูกติดหน้าจอมือถือ ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกดูอย่างสร้างสรรค์ในการใช้ชีวิตจริง แทนการนั่งอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา จะมีเทคนิคและวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนลูกให้รู้จักวิธีทำความรู้จักคนอื่นก่อน การทำความรู้จักคนอื่นก่อนไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องน่าอายอะไร ถ้าอยากให้ลูกเข้าสังคมได้เก่งคุณพ่อคุณแม่จึงควรเริ่มต้นจากการกล่าวทักทายหรือพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก่อน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักการเข้าหาคนอื่นได้อย่างถูกวิธี และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากขึ้น จะทำให้เขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้เร็วยิ่งขึ้นออกจาก Comfort Zone  ได้ง่ายขึ้น การทำความรู้จักคนอื่นก่อนจะทำให้ลูกนั้นได้เปรียบการใช้ชีวิตในทุกๆด้านซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากในการเติบโตขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรปลูกฝังและส่งเสริมทักษะทางด้านนี้ให้กับลูก รู้จักเข้าหาผู้อื่นก่อนและรู้จักการสื่อสารที่ไม่ทำให้อึดอัดจนเกินไป ว่าลูกโตขึ้นจะทำให้เขากล้ามีสังคมใหม่ๆและไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆนั่นเอง 2. พาลูกไปพบปะกับเพื่อนใหม่และสังคมใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีของการเข้าสังคม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปเปิดโลกหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากขึ้น ให้เขาได้เจอกับเพื่อนใหม่และสังคมใหม่ๆที่น่าสนุกและตื่นเต้น ซึ่งการพบปะกับเพื่อนใหม่ในช่วงเวลาเดียวกันจะทำให้เขามีความหลากหลายทางสังคมมากยิ่งขึ้น และทำให้เขาเรียนรู้ที่จะปรับตัวในการเข้ากับสังคม และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ทำให้ลูกมีสังคมที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น   3. ฝึกให้ลูกเข้าสังคมด้วยบทบาทสมมุติ การที่คุณพ่อคุณแม่เล่น บทบาทสมมุติกับลูกจะช่วยให้เขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้นเช่นเลือกนิทานเรื่องที่ชอบแล้วสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆหรือลอง สมมุติเป็นคนแปลกหน้าพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างจินตนาการและความคุ้นเคยในการเข้าสังคมให้กับเขาได้มากยิ่งขึ้น สมมุติเป็นคนแปลกหน้าพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างจินตนาการและความคุ้นเคยในการเข้าสังคมให้กับเขาได้มากยิ่งขึ้น การเล่นบทบาทสมมุติจะช่วยฝึกการเข้าสังคม และช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นสำหรับเด็กวัยปฐมวัยจะช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆได้เป็นอย่างดีช่วยให้เขาเข้าสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยที่ไม่กดดันและไม่เคร่งครัดมากจนเกินไป ทำให้ลูกได้สนุกไปกับการเรียนรู้ได้อีกด้วย  4. ชวนลูกไปกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนให้มากขึ้นกว่าเดิม การที่คุณพ่อคุณแม่จะชวนลูกๆไปพบปะกับเพื่อนในสมัยนี้เป็นเรื่องยากเพราะส่วนมากเด็กมักจะจมอยู่กับหน้าจอมือถือเป็นเวลานาน เล่นเกมจนเพลินไม่อยากลุกไปไหน ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อลูกเป็นอย่างมาก เช่นทำให้เขาเป็นโรคสมาธิสั้น สายตาสั้น เป็นต้น แต่การไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน […]

4 ขั้นตอน ที่จะช่วยแนะนำให้คุณแม่วางตัวให้ถูกต้อง เมื่อรู้ว่าลูกแอบดูสื่อลามก

สารพันปัญหา แม่และเด็ก

เมื่อลูกน้อยของเราเจริญเติบโตขึ้นทุกวันอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกเลยนั่นก็คือการเติบโตมาในช่วงอายุของวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นวัยที่จะต้องได้รับการดูแลและใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะในช่วงวัยรุ่นนี้จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ลูกกำลังจะพัฒนาตนเองจากในวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ อาจจะมีในเรื่องของการติดเพื่อน มีความคิดเป็นของตัวเองมากยิ่งขึ้น มีความอยากรู้อยากลองมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงวัยรุ่น เด็กจะต้องสงสัยและมีความอยากรู้ในเรื่องของเพศศึกษาต่างๆอย่างแน่นอน  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ และหากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนกำลังประสบกับปัญหาลูกแอบดูสื่อลามกต่างๆ ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป คุณพ่อคุณแม่ควรชี้แจงไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องเพศศึกษานั้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ลูกควรรับรู้ในทางที่ถูกต้องนั่นเอง วันนี้เราจึงมี 4 ขั้นตอนในการวางตัวหากพบว่าลูกแอบดูสื่อลามก คุณพ่อคุณแม่ควรวางตัวอย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ไม่ดุด่าหรือตำหนิลูกในทันที คุณพ่อคุณแม่ควรหายใจเข้าลึกๆและปรับอารมณ์ความรู้สึกรวมถึงความคิดของตนเองให้นิ่งยิ่งขึ้น แน่นอนว่าคุณอาจจะรู้สึกว่าลูกนั้นยังเด็กอยู่เลยไม่ควรแอบดูสื่อประเภทนี้ แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ยิ่งห้ามใจยิ่งกลายเป็นข้อผิดพลาดที่รุนแรงและอาจจะเกิดเรื่องเสียหายตามมาในภายหลังได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีอารมณ์โมโหหรือฉุนเฉียวใส่ลูกจะทำให้เขากลัวกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้และเมื่อเกิดปัญหาใดที่เกี่ยวกับเพศศึกษาในลักษณะนี้เขาจะไม่กล้าที่จะมาปรึกษาหรือถามคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป อาจทำให้เขามีเพื่อนเป็นที่พึ่งหลักซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการเรียนรู้ด้วยตัวเองกับกลุ่มเพื่อน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องเปิดใจและชี้แจงให้กับลูกอย่างมีเหตุผล 2. สำรวจอายุของลูกให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่เรากำลังจะสอน การดูสื่อลามกของเด็กๆไม่ว่าจะเป็นจากหน้าจอมือถือหนังสือใดก็ตาม คุณพ่อคุณแม่จะต้องคำนึงถึงอายุของลูกเป็นหลักว่าเขาควรได้รับความรู้ในเรื่องเพศศึกษาในขอบเขตได้เท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น ในวัยปฐม ซึ่งยังไม่ใช่เรื่องเวลาที่เขาจะเรียนรู้หรือสนใจเรื่องนี้เป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่จึงสามารถสอนได้ง่ายกว่าช่วงอายุอื่นสามารถบอกกับเขาตรงๆว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่ต้องมีข้อจำกัดกับลูกว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัว มัธยมปลาย เป็นวัยที่เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งความรู้สึกและความต้องการ ฉะนั้นในวัยนี้จึงเป็นวัยที่เข้าถึงสื่อลามกได้อย่างเต็มรูปแบบและง่ายมากกว่าวัยอื่น คุณพ่อคุณแม่ต้องดูพฤติกรรมและอุปนิสัยของลูกว่าเป็นเช่นไร  สามารถพูดได้โดยตรงหรือไม่หรือต้องค่อยๆสอนจะทำให้ลูกยอมเปิดใจพูดคุยด้วยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น  3. ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม คุณพ่อุณแม่ควรหาข้อมูลหรือเรื่องที่จะสอนลูกให้ถูกต้อง โดยข้อมูลที่ใช้จะต้องอัพเดทและทันสมัยเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ลูกยอมเปิดใจรับฟัง และเข้าใจในเรื่องเพศศึกษาให้ได้อย่างถูกต้อง โดยที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมั่นใจในร่างกาย วุฒิภาวะและอารมณ์ของวัย โดยอธิบายเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ง่ายซึ่งจะต้องสอดคล้องกับเหตุผลและความเป็นจริงในปัจจุบันด้วย จะทำให้ลูกนั้นเปิดใจรับฟังและพร้อมที่จะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ได้ตลอดเวลา 4. รับฟังความรู้สึกของลูก ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นเป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่เคอะเขินอาย ซึ่งเรื่องเพศศึกษาคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวหรือผิดศีลธรรมอะไร […]

5 อาการป่วยของลูกน้อย ที่มักพบในช่วงฤดูหนาว 

สารพันปัญหาแม่และเด็ก

เมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามาแล้วสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงลูกให้ถูกวิธี ดูแลลูกน้อยให้มีร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ เพราะในช่วงฤดูหนาวนั้นเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ลูกมักจะป่วยบ่อยมากที่สุด  เพราะจะต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างกะทันหัน ซึ่งภูมิคุ้มกันของเด็กน้อยนั้นยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ โดยความเย็นจากฤดูหนาวนั้น จะทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและสามารถแพร่กระจายได้มากกว่าฤดูอื่นๆนั่นเอง โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมักพบได้บ่อยมากที่สุด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องเตรียมรับมือกับอาการป่วยของลูกในช่วงหน้าหนาว จะมีอาการป่วยใดที่ต้องระวังบ้างนั้นติดตามกันเลย 1. โรคไข้หวัด น้ำเป็นโรคทั่วไปที่สามารถพบได้บ่อยมากในเด็กเล็ก ซึ่งอาการป่วยจากโรคไข้หวัดนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้นั้นคือลูกน้อยอาจมีไข้ต่ำ มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล รวมถึงมีอาการไอจามและทานอาหารได้ไม่ปกติ โดยไข้หวัดใหญ่นั้นเด็กจะมีไข้สูง จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วยซึ่งอาการจะรุนแรงถึงขั้นมีภาวะปอดอักเสบแทรกซ้อนได้เลยทีเดียว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่  จะต้องเตรียมรับมือและหมั่นตรวจเช็คอาการของลูกอยู่เสมอ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือควรให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยรักษาร่างกายของลูกให้อบอุ่นอยู่เสมอ 2. โรคอุจจาระร่วง เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในฤดูหนาวส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัสโรตา ผมได้บ่อยมากในเด็กเล็ก ซึ่งมักติดต่อด้วยการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน โดยโลกนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางน้ำมูกหรือน้ำลายได้อีกด้วย อาการโรคอุจจาระร่วงโดยทั่วไปจะไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดคือมีไข้ อาเจียนและถ่ายเป็นน้ำ  หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการของลูกเข้าข่ายโรคอุจจาระร่วง ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที 3. โรคอีสุกอีใส เป็นอีกโรคหนึ่งที่จะเกิดได้ในเด็กเล็ก อาการของโรคนี้เด็กจะเริ่มป่วยจากการมีไข้ต่ำ หลังจากนั้นจะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ ใบหน้าและตามลำตัว โดยจะเริ่มเป็นผื่นแดงตุ่มนูนและเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสๆภายในระยะเวลา 2-3 วันจะเริ่มมีไข้  หลังจากนั้นถึงจะเป็นหนองแล้วเริ่มแห้งตกสะเก็ด โดยทั่วไปโรคนี้มักหายได้เอง แต่ต้องระวังผู้ป่วยอาจมีอาการแทรกซ้อนทางสมอง หรืออาจทำให้เกิดปอดอักเสบได้ เด็กที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำแล้วป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วน  4. อาการผิวแห้งแตก ในฤดูหนาว ถือเป็นอาการที่ปกติสามารถพบได้บ่อยในช่วงที่มีความชื้นในอากาศลดลง ด้วยความที่อากาศหนาวเย็นยังทำให้น้ำระเหยจากผิวหนังจนผิวเด็กเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย […]

5 ความเสี่ยง ที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยหากนอนหลับยังไม่มีคุณภาพ 

สารพันปัญหาแม่และเด็ก

เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนต่างก็หวังว่าลูกน้อยจะเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัยทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจ ซึ่งการมีพัฒนาการที่ดีนั้นล้วนแล้วแต่มาจากพื้นฐานของการนอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ การหลับอย่างมีคุณภาพหมายถึงลูกน้อยหลับได้สนิทและยาวนาน ในขณะที่ลูกหลับสนิทนั้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตหรือเรียกว่าโกสฮอร์โมนซึ่งจะหลั่งมากในช่วงเวลากลางคืนหลังจากที่หลับไปแล้ว 1-2 ชั่วโมง ถ้าร่างกายนอนหลับไม่เพียงพอหรือหลับๆตื่นๆจะส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมน การเจริญเติบโตนั้นได้ไม่เต็มที่ ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านความสูงและร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพนั้นมีความสำคัญสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงมี 5 ความเสี่ยงที่เกิดจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างไม่มีคุณภาพ สำหรับเด็กมาฝากกัน จะส่งผลกระทบทางด้านใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตน้อยลง หากลูกน้อยนอนหลับอย่างไม่มีคุณภาพจะทำให้พัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านสมองรวมถึงทางด้านความคิดและความจดจำลดลงเนื่องจากฮอร์โมนการเจริญเติบโตนั้นหลังได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกให้ลูกนอนหลับยาวและหลับให้สนิทในช่วงเวลากลางคืน ไม่สะดุ้งตื่นหรือร้องงอแงกินนมในเวลากลางคืนนั้นเอง 2. ลูกเรียนรู้สิ่งต่างๆลดลง เด็กที่นอนหลับพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอหรือหลับอย่างไม่มีคุณภาพนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงทางด้านสมองซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมอารมณ์ของเด็กด้วยเพราะเมื่อเด็กเริ่มอารมณ์ไม่ดีการเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวนั้นก็จะลดน้อยลงด้วยทำให้เขาขาดประสบการณ์ทั้งด้านการเล่นและการเรียนรู้ไปพร้อมกัน ส่งผลให้พัฒนาการในด้านต่างๆของเด็กนั้นถอยลงตามไปด้วย 3. เสี่ยงเกิดโรคเตี้ยแคระในเด็ก การนอนหลับอย่างไม่มีคุณภาพนั้นโกสฮอร์โมนภายในร่างกายของเด็กๆจะเริ่มทำงานอย่างผิดปกติและทำงานได้ไม่เต็มที่ทำให้ร่างกายนั้นไม่ได้รับการเจริญเติบโตทางด้านความสูงที่เพียงพอ เด็กจึงเสี่ยงที่จะเป็นโรคเตี้ยแคระได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 4. ลูกจะนอนกลางวันมากยิ่งขึ้น หาคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตเด็กๆดูว่าเขาเริ่มชอบนอนหลับในเวลากลางวันแต่ตื่นในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติสำหรับบุคคลทั่วไป จะทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลากลางวันและกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว ตาสว่างในเวลากลางคืน มักพบตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 1-2 เดือน โดยอาการเหล่านี้เกิดจากสมองที่ควบคุมการนอนของเด็กนั้นยังไม่พัฒนาเต็มที่เมื่อเด็กโตขึ้นอาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้น ผสมผสานกับการฝึกของคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกหลับในช่วงเวลากลางคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะทำให้เขารู้สึกตื่นตัว และอยากที่จะเรียนรู้ในช่วงเวลากลางวันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 5. ลูกก้าวร้าวอารมณ์ไม่ดีแล้วงอแงง่าย เป็นผลกระทบมาจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมาลูกจะรู้สึกไม่สดชื่น ไม่กระปี้กระเป่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตได้ว่าลูกนั้นอารมณ์ไม่ดีและก้าวร้าวได้ง่าย งอแง ดื้อ เพราะเมื่อสมองได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอจึงไม่สามารถสั่งการให้ร่างกายพร้อมต่อการทำกิจกรรมใดๆก็ตามได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง จะสังเกตเห็นได้ว่าการนอนหลับพักผ่อนหรือการนอนอย่างมีคุณภาพในเด็กนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และคุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องฝึกให้ลูกนอนยาวในช่วงเวลากลางคืนให้ได้ เพื่อที่จะให้ลูกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โกรทฮอร์โมนจะผลิตและหลั่งออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ลูกน้อยนั้นเจริญเติบโตสมวัย พร้อมเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆในช่วงเวลากลางวันได้มากยิ่งขึ้น มีความกระตือรือร้นและเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสตลอดทั้งวัน […]