5 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นเด็กกล้าแสดงออก
เมื่อพูดถึงเรื่องของการกล้าแสดงออกแล้วล่ะก็ เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องพยายามฝึกฝนลูกให้มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งถือเป็นพรสวรรค์ เป็นบุคลิกภาพเฉพาะตัวที่ไม่สามารถเลียนแบบกันได้ เด็กที่มีความกล้าแสดงออกและมั่นใจในตัวเองนั้น จะทำให้ได้พบกับโอกาสใหม่ๆและได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ที่กว้างขวางมากกว่าผู้อื่น แต่การจะสร้างความมั่นในให้ลลูกเป็นเด็กกล้าแสดงออกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการฝึกลูกให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้นและกล้าที่จะแสดงออก แสดงความคิดเห็นมากยิ่งขึ้น จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. เตรียมความพร้อมก่อนลงสนาม ทักษะการกล้าแสดงออก และมีความมั่นใจในตัวเองนั้นเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ฝึกฝนกันได้ยากมาก คุณพ่อคุณแม่จะต้องเรียนรู้พฤติกรรม และดึงความเป็นตัวตนของลูกออกมาให้ได้ เพื่อให้ลูกได้ฝึกใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องไม่ควบคุมและไม่กำหนดบทบาทให้กับลูก เพราะจะทำให้เขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง 2. ให้ลูกได้พบกับความท้าทายด้วยตัวเอง วิธีนี้จะทำให้ลูกสามารถใช้ความคิดที่มี มาแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ลูกกล้าคิด กล้าแสดงออก เมื่อลูกมีอิสระทางความคิดจะทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรปล่อยให้ลูกได้เผชิญกับความท้าทายด้วยตนเองบ้าง 3. ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังหรือผิดพลาด จะทำให้ความมั่นใจในตัวเองนั้นลดน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะเป็นแรงผลักดันให้ลูก คอยให้กำลังใจ ช่วยให้ลูกเรียนรู้และมองเห็นประโยชน์ในข้อผิดพลาดเหล่านั้น และนำข้อเสียที่พบมาปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เมื่อมีคนเข้าใจและพร้อมให้กำลังใจเขาอยู่ข้างๆ เขาจะรู้สึกมั่นใจในตัวเองและกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น 4. ชื่นชมลูกเสมอ คำชมของคุณพ่อคุณแม่ เป็นแรงผลักดันที่ดีให้กับลูก แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ในความพยายามของลูก คุณควรชื่นชมลูกถึงแม้ลูกจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม คำชมของคุณพ่อคุณแม่จะทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เกิดความมั่นใจและกล้าที่จะแสดงออกมากยิ่งขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่อาจแสดงออกได้ทั้งทางกายและวาจา เช่น การกอด การหอม จะแสดงได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่คุณมีให้กับลูก ดังนั้นอย่าลืมที่จะชื่นชมลูกบ่อยๆ 5. […]
5 เคล็ดลับในการสอนลูกให้เป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น
สำหรับเด็กในช่วงปฐมวัยแล้วจะเป็นอีกช่วงหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่นั้นอาจจะต้องปวดหัวและต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงวัยนี้ลูกจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก จะมีพฤติกรรมที่ลอกเลียนแบบผู้อื่น และอีกหนึ่งพฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเป็นกังวลนั่นคือ การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยไม่มีความอ้อมอารีหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญในชีวิต ที่จะทำให้เด็กนั้นอยู่ร่วมกับสังคมได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากเด็กที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สามารถปรับตัวและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ จ้าสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย ซึ่งเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งที่รอบตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น เป็นที่รักของคนรอบข้างมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการสอนลูกให้เป็นคนที่มีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น จะมีวิธีการอบรมบ่มนิสัยลูกอย่างไรบ้าง นั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกช่วยเหลือผู้อื่นเป็น ถือเป็นวิธีการเริ่มต้นที่จะฝึกให้ลูกเน้นมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี ซึ่งสังคมในโรงเรียนนั้นลูกจะต้องพบเจอกับเพื่อนที่หลากหลายอารมณ์ หลากหลายนิสัย บางคนน้ำเป็นเด็กที่เรียบร้อย แต่ในขณะที่บางคนนั้นเป็นเด็กที่เกเรชอบแกล้งเพื่อน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสร้างจินตนาการให้กับลูก ว่าเมื่อตนเองถูกกลั่นแกล้งงั้นจะรู้สึกเช่นไร วิธีนี้จะช่วยให้ลูกตระหนักถึงการไม่แกล้งผู้อื่น และจะมีจิตใจที่ดีมากขึ้น รวมไปถึงเมื่อเจอสถานการณ์ที่เพื่อนถูกแกล้งลูกสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็น ซึ่งทักษะนี้หากปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็กลูกจะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดี ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น 2. บอกรักลูกเสมอ เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายและทำได้ทันที การที่คุณพ่อคุณแม่บอกรักลูกอยู่เสมอจะทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกเป็นที่รัก เขาจะรู้สึกรักตัวเองมากยิ่งขึ้น ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตามเป็นต้นแบบ เขาจะรู้สึกถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นไปโดยอัตโนมัติ วิธีการบอกรักลูกอยู่เสมอและมีประโยชน์อย่างมากลูกจะรู้สึกเห็นคุณค่าของความรู้สึกผู้อื่นมากขึ้น 3. สอนลูกเข้าใจอารมณ์ของตนเอง พฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่นั้นมักจะแสดงออกมาจากความรู้สึกข้างใน ซึ่งบางครั้งเขาไม่ทราบว่าพฤติกรรมเหล่านี้นั้นไม่น่ารัก บางครั้งจึงเผลอแสดงความเกรี้ยวกราด ออกมาโดยไม่รู้ตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตนเองได้ ลูกโมโหหรือเกรี้ยวกราด ให้บอกถึงความรู้สึกเหล่านั้นให้ลูกได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์ดีใจ อารมณ์ตื่นเต้น อารมณ์มีความสุข การสอนให้ลูกรู้จักความรู้สึกเหล่านี้จะทำให้เขาเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเองได้มากยิ่งขึ้น เมื่อจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ […]
5 เคล็ดลับ ในการรับมือกับพฤติกรรมเกเรของลูกน้อย
ก่อนอื่นเลยคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พฤติกรรมเกเรนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน โดยพฤติกรรมเหล่านี้นั้นมักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ของลูกในขณะนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นเมื่อเด็กมีอาการหิว ง่วงนอน เหนื่อย เรื่องเด็กแต่ละคนนั้นมีพื้นฐานลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องสังเกตพฤติกรรมของลูก เรียนรู้และเข้าใจ กับพฤติกรรมของลูกในขณะนั้น รวมถึงสามารถอบรมสั่งสอนและปรับพฤติกรรมเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการรับมือกับพฤติกรรมเกเรของลูกมาฝากกัน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่กำลังหนักใจ และมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่สามารถติดตามรายละเอียดกันได้เลย 1. ถามถึงเหตุผลกับลูกโดยตรง เป็นวิธีที่ควรปฏิบัติเป็นอันดับแรกโดยการพูดคุยกับลูกโดยตรง ว่าเขารู้สึกอย่างไร รวมถึงคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกเหตุผลและสะท้อนอารมณ์ของลูกให้ได้รับรู้ จะทำให้เขารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น เช่น ที่หนูกำลังโมโหอยู่นี่ หนูง่วงนอนใช่ไหม เป็นต้น หากคุณพ่อคุณแม่ทราบถึงสาเหตุแล้ว ให้อธิบายถึงพฤติกรรมเกเรที่ลูกได้แสดงออกมาสะท้อนให้ลูกได้รับรู้ จะทำให้ลูกยอมรับและเข้าใจมากยิ่งขึ้น 2. พ่อแม่ต้องใจเย็น เป็นวิธีที่ปฏิบัติตามได้ยาก แต่เป็นทักษะพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างให้กับเด็ก เพราะคุณจะเป็นต้นแบบให้กับลูก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หงุดหงิดอารมณ์เสีย ด้วยพฤติกรรมที่เกเรของลูก คุณพ่อคุณแม่จะต้องใจเย็น แล้วไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีตอบกลับให้ลูกได้เห็น ไม่ดุด่าว่ากล่าวโดยใช้อารมณ์ ไม่อาละวาดลูก ให้พูดคุยกับลูกด้วยเหตุผลและอธิบายให้ลูกเข้าใจอย่างใจเย็น และมีสติ จะทำให้ลูกค่อยๆซึมซับลักษณะนิสัยเหล่านี้ไปโดยอัตโนมัติ 3. สอนให้ลูกรู้จักขอบเขต ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง วิธีนี้จะช่วยให้ลูกมีวินัยมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบาย และตั้งกฎกติกา ภายในครอบครัว ที่จะต้องปฏิบัติร่วมกันและอยู่ในขอบเขตที่กำหนด โดยต้องไม่ตึงและไม่ยืดหยุ่นจนเกินไป วิธีนี้จะช่วยปรับพฤติกรรมเกเรของลูกให้มีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น 4. ให้รางวัลลูก ถือเป็นกฎกติกาเล็กๆน้อยๆที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม […]
6 แนวทางในการเลี้ยงลูก ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมภายในครอบครัว
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แล้วนั้น การเลี้ยงลูกถือเป็นเรื่องที่ใหม่อย่างมาก ซึ่งหลายคนคงเคยมีความกังวล ว่าการเลี้ยงลูกในทุกวันนี้ นั้นดีพอแล้วหรือยัง หรือสามารถที่จะส่งเสริมให้เขามีปัญหาการที่ดีได้มากกว่านี้ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลใจไปวันนี้เรามีแนวทางในการเลี้ยงลูก ให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และมีภูมิคุ้มกันทางด้านสังคมสูง ซึ่งแนวทางที่เรานำมาฝากกันในวันนี้นั้นสามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสมได้กับทุกครอบครัว ถือเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่ลูกควรมี และเหมาะสมกับเด็กๆทุกคน 1. ให้ลูกมั่นใจในตัวเอง การเชื่อมั่นในตัวเองนั้นจะทำให้ลูกสามารถแสดงออกและแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ การสอนให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเองนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ด้วยการปล่อยให้ลูกได้ใช้ความคิดอย่างอิสระ รู้จักตัดสินใจด้วยตัวเอง ก่อนที่ให้ลูกเชื่อมั่นในตัวเองนั้น คุณแม่จะต้องเชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ 2. ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น จะลดศักยภาพในตัวลูกลงไปโดยไม่รู้ตัว จะทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดปมฝังใจให้กับเด็กได้อีกด้วย เช่น ทำไมลูกเขาไม่เห็นดื้อเลย เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างเลย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ควรปฏิบัติกับลูกอย่างเด็ดขาด เพราะเด็กแต่ละคนมีลักษณะนิสัยพื้นฐานไม่เหมือนกัน เราควรสนับสนุนในตัวเขามากกว่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเผยความสามารถของตัวเองออกมาได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 3. เด็กจะมีความเป็นตัวของตัวเอง โดยพื้นฐานแล้วคุณพ่อคุณแม่มักหวังดีกับลูกเสมอ จนบางครั้งมองข้ามความคิดหรือเหตุผลของลูกไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้ความหวังดี มาเป็นข้ออ้างให้ลูกทำตามความต้องการของตัวเอง ควรสนับสนุนให้มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง โจะทำให้เขาได้ใช้กระบวนการความคิดได้มากยิ่งขึ้น แล้วเมื่อลูกเติบโตขึ้นจะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำนั้นคือการสนับสนุน ให้เขาทำในสิ่งที่ชอบ จะช่วยปลูกฝังทักษะในการดำเนินชีวิตที่สำคัญให้กับลูกได้อีกด้วย 4. เคารพในตัวตนของลูก เด็กชายเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่นั้นยอม รับในตัวตนของเขา ซึ่งตัวตนของเด็กแต่ละคนนั้นมีความสามารถที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความถัด ความสามารถเฉพาะตัว พรสวรรค์ที่ติดตัวมากับเด็ก รวมถึงรสนิยมในตัวลูก ซึ่งทั้งหมดนั้นหล่อหลอมมาเป็นตัวตนของเขา ดังนั้น […]
5 พฤติกรรม เด็กต้องเรียนรู้และปรับตัวในยุคโรคระบาด Covid-19
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้ทั่วโลกนั้นได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค โควิด-19 ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของชีวิต มาทำให้การใช้ชีวิตในปัจจุบันนั้นได้ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ที่ขาดโอกาสเข้าสังคมกับเพื่อนๆ รวมไปถึงการออกไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ เพราะว่าในกลุ่มเด็กเล็กนั้นถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเชื้อไวรัสชนิดนี้ เนื่องจากเด็กยังมีภูมิต้านทานน้อย จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลเขาเป็นพิเศษ โดยอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงพฤติกรรมที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุค New Normal นี้ เด็กๆจะต้องเรียนรู้และปรับตัวในด้านใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. Learn from home หรือ การเรียนออนไลน์ นั่นเอง ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ที่ใช้ในรูปแบบของออนไลน์เข้ามารองรับกับสถานการณ์โรคระบาดโควิดนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะ สัมผัส หรือพูดคุยกันของเด็กๆ ลดการใช้ห้องเรียนเป็นเวลานาน จึงทำให้เด็กๆต้องมีความกระตือรือร้น ขยันหมั่นเพียรที่จะเรียนรู้ทางโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น สามารถแยกแยะและใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ได้ โดยเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องคอยกระตุ้น หรือ คอยสนับสนุนลูกอยู่ข้างๆเสมอ แล้วต้องคอยสังเกตพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ หรือ การท่องโลกอินเตอร์เน็ตของลูก เพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางนั่นเอง 2. เด็กจะต้องรู้จักเว้นระยะทางสังคม การเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นอีกหนึ่งมาตรการของการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยเด็กจะต้องเข้าใจและเรียนรู้ว่า ต้องเว้นระยะห่างจากเพื่อน ลดการสัมผัส กับเพื่อน จะช่วยทำให้ตัวเองลดการติดเชื้อไวรัสนี้ได้ โดยคุณแม่อาจจะยกตัวอย่างให้ลูกมองเห็นภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การต่อแถวรอคิวเวลาซื้ออาหาร ให้เว้นระยะห่างจากเพื่อน เพื่อลดความแออัดในโรงอาหาร และเพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กๆเอง 3. เรียนรู้การสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าเรียน เด็กในยุคนี้ […]
5 เทคนิคการสอนลูกให้เชื่อฟังได้ง่าย พร้อมเข้าใจและไม่ต่อต้าน
สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วการเลี้ยงดูลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และยิ่งถ้าหากลูกโตขึ้นเขายิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้นการจะหวังให้ลูกนั้นเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และจะต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เพื่อให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสาร พร้อมยอมทำตาม และไม่เกิดการต่อต้านเรานั่นเอง โดยเฉพาะในช่วงวัย 2-3 ขวบ เป็นวัยที่เขาต่อต้าน และดื้อรั้นมากที่สุด ลูกจะมีความคิดเป็นของตัวเองสูง เอาแต่ใจตัวเองสูง ไม่ยอมทำตามในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ หรือใช้วิธีการที่เงียบ ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เรานั้นโมโหและเผลอหงุดหงิดใส่ลูกได้ วันนี้เราจะมีเคล็ดลับในการอบรมสั่งสอนลูกให้ง่ายยิ่งขึ้น โดยที่เขาพร้อมยอมทำตาม และเชื่อฟังในสิ่งที่เราสอน จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ต้องมีแบบอย่างให้ลูกเห็น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจะสอนอะไรให้เขาจดจำนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรมีแบบอย่างให้ลูกเห็น ลูกจะพร้อมยอมทำตามได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเด็กในวัย 3-6 ขวบ ที่จะเป็นช่วงวัยชอบลอกเลียนพฤติกรรมของคนใกล้ชิด โดยที่ลูกๆนั้นไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ว่าพฤติกรรมใดควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะพยายามเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกในช่วงวัยนี้ จะทำให้เขาซึมซับพฤติกรรมดีๆเหล่านั้นจากคุณพ่อคุณแม่มาได้ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นนั้น เป็นวิธีที่ดีกว่าการออกคำสั่งให้ลูกทำ ลูกจะไม่เกิดการต่อต้าน และค่อยๆซึมซับพฤติกรรมดีๆเหล่านั้นมา 2. สอนลูกด้วยน้ำเสียง และสายตาแห่งความรัก เมื่อไหร่ที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนลูก ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ควรใช้คำพูด และท่าทางที่อ่อนโยน ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่ตะคอกใส่ลูก ค่อยๆพูดอย่างนิ่มนวล รับฟังสิ่งที่ลูกจะอธิบาย ก่อนจะให้ลูกทำอะไร ให้เรียกชื่อลูก แล้วใช้คำพูดง่ายๆสอนลูก เขาจะรับรู้ และปฏิบัติตามได้ง่ายกว่าเราออกคำสั่ง 3. มีข้อตกลงร่วมกัน […]
5 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุขในยุค New Normal
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนี้โรคระบาด covid -19 นั้น ส่งผลกระทบต่อทุกด้าน โดยเฉพาะเด็กๆที่ปรับตัวให้เข้ากับยุค New Normal โดยยุคนี้ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณพ่อคุณแม่จะเป็นกังวลว่าลูกจะได้รับเชื้อไวรัส เพราะการระบาดระลอกใหม่นี้ สามารถติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามเด็กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขได้ในยุคนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีทักษะและพัฒนาการทางด้านความคิดได้อย่างไร้ขีดจํากัด โดยที่ยังสามารถปฏิบัติตามมาตรการ การป้องกันเชื้อโรคของรัฐบาลได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขในยุค New Normal มาฝากกันจะมีเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้อย่างไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ปล่อยให้เขามีอิสระในการเล่น สำหรับคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะเป็นกังวลและมีความห่วงลูกมากจนเกินไป จนอาจจะจำกัด พื้นที่ในการเล่น หรือห้ามนู่นห้ามนี่ไม่ให้ลูกเล่นอย่างอิสระ เพราะกังวลในเรื่องของสุขอนามัยของลูก ซึ่งความห่วงใยเราซึ่งความห่วงใยเหล่านี้ อาจเป็นดาบสองคม ปิดกั้นการพัฒนาการของลูกโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นแนะนำว่าให้คุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้เขาเล่นอย่างอิสระ จะทำให้ลูกเกิดกระบวนการความคิด และมีทักษะการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น การปล่อยให้ลูกเล่นอย่างอิสระนั้นจะช่วยให้เขาปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เขามีความสุขในยุค New Normal นี้อย่างแท้จริง 2. เลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลี้ยงลูกในยุคนี้นั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกวินาที แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนในตัวตนของ เคารพการตัดสินใจของลูก และสนับสนุนให้เขาเป็นตัวของตัวเองได้มากที่ วิธีการเลี้ยงลูกเช่นนี้จะไม่กดดันลูก จะทำให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และที่สำคัญสามารถให้ลูกค้นพบความชอบหรือความเป็นตัวของตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น ลูกจะมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้นหากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและสนับสนุนเขา 3. ไม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ข้อนี้สำคัญมาก ถึงแม้ว่าเราจะมอบความเป็นอิสระให้กับเขา แต่จะต้องมีขอบเขต และเลี้ยงดูอยู่บนพื้นฐานของความพอดี […]
5 เคล็ดลับ ในการรับมือกับลูกกินยาก แก้ปัญหาลูกเลือกกินได้อย่างถูกวิธี
เมื่อเด็กอยู่ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตเขาจะมีพัฒนาการความคิดและลักษณะนิสัยส่วนตัว จะสามารถแยกแยะสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบออกได้อย่างชัดเจน และเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านน่าจะเคยประสบปัญหากับลูกที่ชอบเลือกกิน ไม่ยอมกินผัก เลือกกินเฉพาะสิ่งที่ตนชอบ หรือกินข้าวยาก โดยบางครั้งของที่ลูกชอบกินหนูก็อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายนะ ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก โดยธรรมชาติของเด็กแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะชื่นชอบอาหารที่มีรสชาติอร่อย แปลกใหม่ และหลากหลาย มักจะปฏิเสธอาหารที่ตนเองไม่ชอบหรืออาหารที่มีประโยชน์ อย่างเช่นผักผลไม้ ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามหาเมนูอาหารที่หลากหลายและมีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของลูก เพื่อให้ร่างกายนั้นเจริญเติบโต ได้อย่างมีคุณภาพนั่นเอง วันนี้เราจะมีวิธีในการรับมือกับลูกกินยากมาฝากกัน จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัยให้ลูกหันมาทานอาหารได้ง่ายยิ่งขึ้น การให้ลูกด้วยหรือเป็นส่วนหนึ่งในการทำอาหารนั้นจะทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกับอาหารที่ตัวเองทำ และชื่นชอบในการทานอาหารมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มจากง่ายๆโดยการให้ ลูกเป็นคนเลือกวัตถุดิบ เลือกเมนูที่ชอบ และให้เป็นลูกมือช่วยหยิบจับสิ่งของเล็กๆน้อยๆ จะทำให้เขารู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของอาหารมากยิ่งขึ้น 2. กำหนดเวลาในการทานอาหาร เวลาในการทานอาหารนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกทานข้าวภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่นานจนเกินไป วิธีนี้จะสามารถช่วยฝึกวินัยให้ลูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมในการทานอาหารของเด็ก คือ 20-30 นาที เท่านั้น เพราะหลังจากนั้น ลูกจะเริ่มไม่สนใจและเล่นอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า วิธีนี้ ช่วงแรกๆอาจจะยากสักหน่อย แต่เมื่อปฏิบัติจนเป็นนิสัยจะทำให้ลูกเรียนรู้กติกาในการทานอาหารร่วมกัน รวมถึงมีวินัยมากยิ่งขึ้น 3. หาเมนูใหม่ๆให้ลูกทานเสมอ เด็กก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบอาหารที่หลากหลายและแปลกใหม่อยู่เสมอ หากให้ลูกน้อยทานอาหารที่ซ้ำซากจำเจ จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและไม่อยากอาหารไปเลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะรังสรรค์เมนูอาหารที่หน้าตาแปลกใหม่น่ารับประทาน รวมถึงรสชาติที่หลากหลาย และมีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 […]
5 เคล็ดลับ ทำอย่างไรเมื่อลูกพบเจอกับความผิดหวังและพ่ายแพ้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้ เราต้องอบรมเลี้ยงดูลูกให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมออกเผชิญสู่โลกภายนอกได้อย่างชาญฉลาด และอีกหนึ่งสิ่งที่ลูกจะต้องมีนั่นคือ ภูมิคุ้มกันเมื่อพบกับความพ่ายแพ้และผิดหวัง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องปลูกฝังและให้ลูกค่อยๆซึมซับรวมถึงจัดการกับความผิดหวังเหล่านั้นให้ได้อย่างมีคุณภาพ คุณพ่อคุณแม่จะต้องสอนให้ลูกได้เข้าใจในการจัดการกับอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองที่รู้สึกผิดหวังพ่ายแพ้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่ท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการรับมือกับความผิดหวังความพ่ายแพ้ของลูก ให้ลูกนั้นไม่จมอยู่กับความเศร้าเสียใจนาน จะมีเคล็ดลับใดบ้างนั้นไม่ติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกรู้จักความพ่ายแพ้และผิดหวัง การทำความเข้าใจและยอมรับกับความผิดหวังนั้นมีประโยชน์อย่างมาก จะช่วยให้ลูกนั้นไม่รู้สึกจมอยู่กับความเศร้านานเกินไป รู้จักยอมรับและเข้าใจ รวมถึงสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี คุณสามารถฝึกลูกได้ด้วยการลองแข่งขัน โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้เพื่อให้ลูกรู้สึกภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง แต่ควรปล่อยให้ลูกจะได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และหากพบว่า ตนเองนั้นพ่ายแพ้และผิดหวัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ และเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ 2. เป็นตัวอย่าง รับมือกับความผิดหวังให้ลูกได้เห็น คุณพ่อคุณแม่คือแบบอย่างของลูกในทุกเรื่อง หากคุณต้องการให้ลูกรับมือกับความผิดหวังได้ดี คุณต้องเป็นแบบอย่างในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเมื่อผิดหวังนั้นให้ดีให้ลูกเห็น ลูกจะค่อยๆซึมซับยอมรับและเข้าใจได้ว่า ความผิดหวังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน 3. สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเอง ในหนึ่งวัน เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่หลากหลาย มีทั้งอารมณ์ดี เศร้าเสียใจ หรือในบางครั้งพบเจอกับสถานการณ์ที่ผิดหวัง ดังนั้นคุณควรฝึกให้ลูกรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง แล้วสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ในทุกการแข่งขัน ย่อมจะต้องผ่านการฝึกฝนมาแล้วอย่างนี้ อาจมีบางสถานการณ์ที่ลูกรู้สึกท้อแท้ สอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเองยอมรับในความท้อแท้การจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เช่น นั่งพักก่อนแล้วค่อยฝึกซ้อมต่อ หรือหาอะไรอร่อยๆทานก่อนแล้วค่อยมาลุยกันใหม่ เป็นต้น 4. สอนให้เขาแสดงออกอย่างเหมาะสม นอกจากลูกจะต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง จะต้องสามารถแสดงพฤติกรรมออกมาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่ซับซ้อน […]
5 เคล็ดลับ การปฏิบัติตัวและวิธีการแก้ไขปัญหาลูกติดแม่มากเกิน
ลูกติดแม่มากเกินไป เป็นปัญหาที่ทุกบ้านจะต้องประสบพบเจอกันอย่างแน่นอน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กทารกจะมีความสามารถพิเศษในการจดจำกลิ่นจะสามารถจำสัมผัสของคุณแม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกอบอุ่นและเชื่อจะให้ว่าตัวเองจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับกลิ่นที่คุ้นเคย หรือสัมผัสที่อบอุ่นนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ลูกมักจะติดแม่ตลอดเวลา แต่หากสำหรับบ้านไหนกำลังประสบกับปัญหาลูกติดแม่มากจนเกินไป ไม่สามารถปลีกตัวไปทำอะไรได้เลย วันนี้เรามีเคล็ดลับในการปฏิบัติตัวและแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างและติดตามกันเลย 1. สร้างความคุ้นเคยให้ลูก วิธีนี้มีประโยชน์อย่างมาก และสามารถปฏิบัติตามได้อย่างง่ายดาย เพียงคุณเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้เวลาอยู่กับบุคคลในบ้านมากยิ่งขึ้น การสร้างความคุ้นเคยนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องอยู่กับบุคคลอื่นในบ้านที่ไม่ใช่แม่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีเวลาเลี้ยงดูลูกเพิ่มมากขึ้น หากมีโอกาสให้พาไปใช้เวลาอยู่กับคนในครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น จะทำให้เขารู้สึกสนิทมีความเชื่อใจ และไว้ใจคนเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น 2. ไม่โกหกลูก คุณพ่อคุณมากที่ประสบกับปัญหาลูกติดงอมแงมอาจจะเลือกใช้วิธีการหลบหลีกหรือแอบรูปออกจากบ้านตอนที่ลูกนอนหลับหรือขอตัวเพื่อตัดปัญหาอาการงอแงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่วิธีเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อโลกโดยตรง การที่คุณพ่อคุณแม่ออกจากบ้านโดยที่ลูกไม่รู้ตัวจะทำให้ลูกรู้สึกหวาดกลัว มีอาการเศร้าเสียใจ แล้วกลัวการพลัดพรากมายิ่งขึ้น ดังนั้นหากคุณมีความจำเป็นที่จะต้องจากบ้าน ควรบอกกับลูกโดยตรงว่าต่อไปจะกลับเมื่อไหร่ ซึ่งมีข้อแม้ว่าคุณจะต้องรักษาสัญญาและห้ามโกหก ลูกจากค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และเข้าใจยอมรับได้มากยิ่งขึ้นว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หายไหน 3. พาลูกออกไปเล่นกับเพื่อน การที่คุณพ่อคุณแม่ลูกไปเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกันจะมีประโยชน์อย่างมาก นอกจากจะช่วยให้เขามีสังคมใหม่ๆแล้ว จะทำให้เขาได้เจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆและตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดอาการติดแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้เขามีพัฒนาการและมีทักษะทางด้านสังคมได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย 4. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันกับลูก ข้อนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การที่ลูกติดแม่เป็นพิเศษนั้นส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความรู้สึกลึกๆที่ลูกรู้สึกว่าไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ เช่นคุณแม่จะต้องทำงานตลอดทั้งวัน จนไม่มีเวลามาเล่นกับลูก ถึงแม้แต่ที่เด็กจะพยายามเข้าหาและอยากใกล้ชิดกับคุณแม่ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นให้คุณแม่พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหนคุณจะต้องจัดสรรเวลาให้มีช่วง เวลาคุณภาพ กับลูกอยู่เสมอ ชวนลูกเล่นอย่างสร้างสรรค์ หรือใช้เวลาพูดคุยกันสนุกสนานโดยปราศจากสิ่งรบกวน อย่างน้อยวันละ 30 […]