ระวัง!! โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก (SMA) ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กเป็นอีกโรคหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม และเป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องทำความเข้าใจและยอมรับให้ได้ ซึ่งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กนั้นจะแตกต่างจากในผู้ใหญ่และสามารถพบได้มากเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากโรคธาลัสซีเมียเลย อาการของโรคก็ค่อนข้างรุนแรง อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย เพราะระบบภายในร่างกาย ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่ลูกน้อยกำลังประสบกับโรค SMA อยู่ ก็สามารถที่จะเรียนรู้และดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีได้ดังนี้ 1. อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็ก (SMA) ส่วนมากสาเหตุมักมาจากความผิดปกติของพันธุกรรมในยีนด้อย ซึ่งอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงน้ำจะส่งผลให้ลูกน้อยมีมวลกระดูกและกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เด็กสูญเสียการควบคุมของกล้ามเนื้อต่างๆไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร รวมไปถึงมีความผิดปกติต่อการส่งคำสั่งจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อ โดยลูกไม่สามารถกินอาหารได้เอง มีกล้ามเนื้อที่ลีบแบน และมักเกิดอาการแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจ รวมถึงสูญเสียการควบคุมศีรษะและลำคอด้วย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลรักษาลูกน้อยอย่างถูกวิธี 2. ประเภทของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 อาการรุนแรงที่สุด เด็กสามารถเสียชีวิตได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 เดือนเลยทีเดียวเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ซึ่งต้องพึ่งพา เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอดเวลา ระยะเวลาเฉลี่ยของเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ได้ประมาณ 1 ปี แบบที่ 2 คืออาการรุนแรงน้อยกว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงอายุ 6-12 เดือน ซึ่งเด็กไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยังต้องพึ่งพารถเข็นหรืออาจจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปตลอดก็เป็นได้ แบบที่ 3 คืออาการหลังช่วงอายุ 1 ปีครึ่งเป็นต้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแอของร่างกายสูงมีการเหนื่อยหอบง่าย […]
ทำความรู้จักกับผื่นบนตัวลูกน้อย และการรับมืออย่างถูกวิธี
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจกำลังประสบกับปัญหาผื่นภูมิแพ้ที่ขึ้นบนตัวลูก ซึ่งหลายคนกังวลใจไม่ใช่น้อยว่าจะเกิดอันตรายกับลูกหรือไม่ ซึ่งเรื่องของผิวหนังนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้ามแต่ที่จริงแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และมีความสำคัญอย่างมาก เพราะผิวหนังเปรียบเสมือนด่านปราการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังของลูกเกิดการอักเสบหรือมีผื่นภูมิแพ้เกิดขึ้น แสดงว่า นี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่างก็เป็นได้ โดยเฉพาะเรื่องผื่นภูมิแพ้ผิวหนังจะเกิดและพบบ่อยมากในเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่จึงควรทำความรู้จักและรู้วิธีการป้องกันรวมถึงวิธีการดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง 1. อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ การเกิดผื่นแพ้บนผิวหนังเกิดจากการอักเสบของผิวหนังเรื้อรังที่เป็นเป็นหายหายสามารถพบได้บ่อยมากในเด็กเล็ก โดยคุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ว่าผื่นขึ้นตามตัวหรือบริเวณต่างๆของร่างกาย โดยการวินิจฉัยโรคผื่นภูมิแพ้นั้นจะสังเกตจากลักษณะของพื้นที่เกิดขึ้นและตำแหน่งที่เกิดขึ้นเป็นหลัก โดยพื้นที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า eczema เป็นผื่นที่มีลักษณะตุ่มแดง เป็นขุย มีตุ่มน้ำขนาดเล็กอยู่ด้านบน และค่อนข้างที่จะคันมาก ทำให้ เด็กนั้นรู้สึกไม่สบายตัว มีอาการร้องไห้งอแง 2. ตำแหน่งของผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุคือในเด็กเล็กอายุ 2 เดือน – 2 ปี มักจะพบผื่นที่บริเวณแก้ม หรือรอบริมฝีปาก รวมถึงอาจเกิดขึ้นที่ด้านนอกแขนขาหรือข้อศอกได้ ในขณะเดียวกันเด็กโตและผู้ใหญ่สามารถพบผื่นลักษณะนี้ในบริเวณข้อพับแขน ขา ข้อ รวมถึงข้อมือ เป็นต้น 3. สาเหตุของโรค ลักษณะผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีสาเหตุหลักๆมาจากความบกพร่องของการสร้างเซลล์ผิว เมื่อผิวหนังมีโครงสร้างที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้บ่อย ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคภูมิแพ้ผิวหนังนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะมีหลายปัจจัยมากที่เข้ามาเกี่ยวข้อง คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตอาการของลูก และ คอยเฝ้าสังเกตปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดผื่นในลักษณะนี้เกิดขึ้น แต่สามารถระบุปัจจัยหลักได้ 2 สาเหตุคือปัจจัยภายใน ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ทำให้โครงสร้างของเซลล์ผิวหนังนั้นผิดปกติ […]
ทำความรู้จักกับประเภทของเด็กในแต่ละรูปแบบ เพื่อส่งเสริมและผลักดันเขาได้อย่างถูกต้อง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กในปัจจุบันนี้มีบุคลิกภาพที่แตกต่างระหว่างมาก ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยทำให้หล่อหลอมเด็กแต่ละคนขึ้นมาในรูปแบบที่แตกต่างกันหาคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตพฤติกรรมของเด็กดีๆจากเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนนะมีความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ความสามารถพิเศษที่แตกต่างกัน รวมไปถึงลักษณะอารมณ์นิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูเขาเหล่านั้นด้วยวิธีเดียวกันได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องศึกษาลักษณะบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปเพื่อที่จะได้ดูแลเอาใจใส่ลูกได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับเด็กในแต่ละรูปแบบนั้นเอง จะมีรูปแบบใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. รูปแบบที่ 1 เด็กร่าเริงแจ่มใส หากลูกของคุณพ่อคุณแม่มีลักษณะนิสัยแบบนี้ถือว่าโชคดีอย่างมาก เด็กที่ร่าเริงแจ่มใสจะสามารถสังเกตได้ง่าย คาดเดาไม่ยาก เขาจะเป็นเด็กที่มีความเป็นมิตรสูง เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นชอบที่จะพบปะและเข้าสังคมกับเด็กคนอื่น และจะตื่นเต้นอย่างมากเมื่อจะได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านหรือไปพบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ชื่นชอบการเล่นสนุกสนาน แต่ถึงจะเป็นเด็กที่ร่าเริงบางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ การดูแลเด็กประเภทนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเซอร์ไพรส์เด็กอยู่เสมอ พยายามหากิจกรรมกระตุ้นความสัมพันธ์ให้มาก เพราะเขาจะชื่นชอบและสนุกกับกิจกรรมต่างๆเหล่านั้น อีกทั้งการได้ทำกิจกรรมร่วมกันยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว 2. รูปแบบที่ 2 เด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหว เด็กประเภทนี้นั้นมักมีจิตใจที่อ่อนโยน เป็นคนใจดีขี้สงสารและเอาใจใส่คนรอบข้างเป็นอย่างมาก เด็กประเภทนี้นั้นมักจะแสดงอารมณ์ว่าชอบหรือไม่ชอบออกมาได้อย่างชัดเจนทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ง่าย การดูแลเด็กประเภทนี้จะต้องใช้ความเอาใจใส่อย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือคนรอบตัวแต่ต้องเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับเขาอยู่เสมอ จะช่วยให้เขารู้สึกของใคร และเกิดความไว้วางใจยอมเล่าเรื่องราวต่างๆที่อยู่ภายในใจให้ฟังได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 3. รูปแบบที่ 3 เด็กที่มีความมุ่งมั่น เด็กในรูปแบบนี้จะเป็นเด็กที่มีพลังและมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ชื่นชอบอย่างมากในการทำกิจกรรมต่างๆเพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เขาจะรู้สึกมีความสุขมากค่ะได้แสดงพลังและความสามารถที่ตัวเองมีออกมาให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ การดูแลเด็กประเภทนี้พ่อแม่จะต้องช่างสังเกตและสนใจเขาให้มาก คอยอยู่เบื้องหลังสนับสนุนและผลักดันให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับทุกเรื่อง มีความเชื่อมั่นในตัวเขาว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่เขาชอบได้อย่างเต็มที่ คอยเชียร์เมื่อเขาออกไปผจญภัยพบเจอกับเรื่องท้าทายใหม่ๆจะทำให้ลูกนั้นได้รับประสบการณ์ใหม่ๆและเรียนรู้กับโลกภายนอกได้อย่างเต็มที่และมีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 4. รูปแบบที่ 4 เด็กที่จริงจัง เด็กในรูปแบบนี้นั้นจะเป็นคนช่างคิดวิเคราะห์ มีกระบวนการความคิดที่เหมือนผู้ใหญ่ เป็นเด็กที่ช่างสังเกต ชื่นชอบอย่างมากหากได้ทำกิจกรรมที่ชอบใช้ความคิด ร้านเด็กประเภทนี้จะต้องการการยอมรับจากผู้อื่นสูง […]
คุณแม่ห้ามพลาด!! วิธีรับมือกับลูกที่แพ้แป้งสาลี
อาการแพ้อาหารของลูกนั้นถือเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมากเลยทีเดียว เชื่อว่าแม่หลายคนกำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้ ลูกมีอาการแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับคนเป็นแม่ ซึ่งอาการแพ้อาหารเหล่านั้น อาจเกิดจากการแพ้อาหารบางอย่างที่เราไม่ทันได้รับเช่น อาการแพ้นม แพ้ถั่ว แพ้ไข่ และยิ่งถ้าหนักไปกว่านั้นคือกันแพ้แป้งสาลีที่สามารถพบได้ทั่วไปในอาหารแทบจะทุกชนิด โดยแป้งสาลีนั้นเป็นอีกหนึ่งสารอาหารหลักที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตและพัฒนาระบบสมองของลูกน้อย หากคุณแม่สงสัยหรือพบว่าลูกมีอาการแพ้แป้งสาลี ให้รีบงดอาหารประเภทเหล่านี้โดยเด็ดขาดและพบแพทย์ผู้เชี่ยววชาญโดยด่วน แต่เราจะทราบได้เรานั้นมีอาการแพ้แป้งสาลี วันนี้เรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวข้องกับการแพ้แป้งสาลี มาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้แป้งสาลี สาเหตุของการแพ้แป้งสาลี หรือรวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี จะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. อาการ ของการแพ้แป้งสาลี คุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกน้อยนั้นมีอาการแพ้แป้งสาลีหรือไม่ให้สังเกตลักษณะพื้นที่ผิวหนัง จะเป็นผื่นแดงคันคล้ายๆกับลมพิษ มีอาการหน้าบวมตาบวม ริมฝีปากบวม รวมไปถึงมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอ จาม หรือเด็กบางรายที่มีอาการแพ้รุนแรงอาจอักเสบไปถึงปอดนำไปสู่อาการหลอดลมตีบแบบเฉียบพลันได้ นอกจากนี้การแพ้แป้งสาลียังมีผลกระทบต่อทางเดินอาหาร เช่นมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย และส่งผลต่อระบบประสาทกับระบบหัวใจ มีอาการเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ มึนงง อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ 2. สาเหตุของอาการแพ้แป้งสาลี มีผลมาจากพันธุกรรมของคุณพ่อคุณแม่ที่มีอาการแพ้อาหาร ผสมผสานกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของลูกที่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทานอาหารเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ ช่วงอายุก็มีผล เด็กอาจจะยังเล็กเกินกว่าที่กระเพาะจะสามารถรับอาหารจำพวกแป้งได้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่รอบๆตัวและมีการเปลี่ยนแปลงไปซึ่งก็อาจจะมีผลต่ออาการแพ้นั้นได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงหมั่นสังเกต ว่าลูกนั้นมีอาการผิดปกติในช่วงเวลาใด เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ 3. วิธีการป้องกันการแพ้แป้งสาลี […]
8 กิจกรรมก่อนนอน ช่วยให้ลูกน้อยหลับง่ายยิ่งขึ้น
การพาลูกเข้านอน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหินอีกหนึ่งกิจกรรมของคุณพ่อคุณแม่เลยก็ว่าได้ เพราะเด็กบางคนนั้นไม่ได้ชอบเข้านอนง่ายๆ จะต้องคอยหาตัวหลอกล่อให้เข้านอน กว่าจะทำให้หลับได้ ผ่านไปหลายชั่วโมงกันเลยทีเดียว สำหรับบ้านไหนที่กำลังประสบกับปัญหาพาลูกเข้านอนยากอยู่นั้น วันนี้เรามีเคล็ดลับในการพาลูกเข้านอนเลยได้ลูกได้อย่างไรส่งผลต่อการหลั่ง Growth Hormone ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกเจริญเติบโตสมวัย และมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เขายังช่วยส่งเสริมเรื่องของความจำและการเรียนรู้ของสมองของลูกได้เป็นอย่างดีด้วย จะมีวิธีใดบ้างในประเด็นต่างกันเลย 1. จัดตารางรูปแบบกิจกรรมประจำวันให้เป็นเวลามากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกนิสัยให้ลูกเข้านอนอย่างตรงเวลา พยายามปลูกฝังให้ลูกสามารถแยกแยะความมืดหรือความสว่างได้ ถ้าหากลูกแยกแยะเวลากลางวันกับกลางคืนได้ลูกจะค่อยๆซึมซับ เมื่อเขาอยู่ในห้องที่มืดเขาจะรู้ว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนนอนหลับ 2. แปรงฟันก่อนเข้านอน ปลูกฝังให้เป็นนิสัยว่าก่อนเข้านอนเราจะต้องแปรงฟันกันนะ เมื่อเราสร้างกิจวัตรประจำวันให้ลูกแล้วลูกจะเริ่มรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่ต้องแปรงฟันนั้น จะใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเข้านอนแล้ว ร่างกายและอารมณ์เขาจะค่อยๆปรับตัวพร้อมที่จะได้รับการพักผ่อนนั้นเอง 3. สวดมนต์ก่อนนอน หากคุณพ่อคุณแม่ฝึกให้ลูกสวดมนต์ก่อนนอนได้นั้นจะมีประโยชน์อย่างมากช่วยให้เขาเป็นเด็กที่มีจิตใจสงบ มีสมาธิดี นอกจากนี้การสวดมนต์ก่อนนอนอย่างทำให้ลูกสามารถนอนหลับได้สนิทและยาวนานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงช่วยให้เขามีพัฒนาการเจริญเติบโตที่ฉลาดสมวัย พร้อมเรียนรู้ในเช้าวันใหม่มากยิ่งขึ้น 4. นอนคุยกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ลูกนั้นยอมเข้านอนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น การชวนลูกคุยก่อนเข้านอนจะช่วยให้เขามีโอกาสได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้รับรู้ ซึ่งมีประโยชน์ที่จะช่วยให้ลูกปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นภายในใจ การทำเช่นนี้จะช่วยทำให้ลูกนั้นสนิทกับเรามากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย 5. หากิจกรรมให้ลูกเล่นในระหว่างวัน กิจกรรม Adventure ที่ลูกจะสามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ เช่นการว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน วิ่งเล่น เมื่อโลกปลดปล่อยพลังเต็มที่ในระหว่างวันไปแล้วจะทำให้เขารู้สึกเพลียและอยากจะพักผ่อนมากยิ่งขึ้น ทำให้เขาหลับง่ายและหลับสนิทมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 6. ดูแลลูกให้สบายตัว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ลูกนั้นนอนหลับได้ง่ายไม่กระวนกระวายใจ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าหรือชุดนอนที่ใส่สบายสามารถระบายอากาศได้ดี […]
5 วิธีชวนลูกคุย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
บทความนี้เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่คุยไม่เก่งเป็นอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่าปัญหาของการคุยไม่เก่งของคุณพ่อคุณแม่บางท่านนั้นอาจส่งผลหรือกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหาเรื่องคุยกับลูกและกระทบต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอีกด้วย จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกนั้นห่างเหินกันโดยไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมีทริคในการชวนลูกคุยเล็กๆน้อยๆมาฝากกัน ซึ่งรับรองได้ว่า จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยไม่เก่ง จะทำให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงได้และสานสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย เทคนิคในการชวนลูกคุยจะมีคำถามในลักษณะไหนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. วันนี้หนูเล่นเกมอะไรกับเพื่อนบ้างเอ่ย? เป็นประโยคเริ่มต้นสนทนาด้วยการถามคำถามปลายเปิด เพื่อให้เขา ตอบสนองต่อคุณพ่อคุณแม่ได้มากยิ่งขึ้น การชวนลูกคุยในลักษณะนี้ จะเป็นการชวนคุยเพื่อผ่อนคลาย ไม่ต้องให้เขาใช้กระบวนการความคิดอะไรมากมาย แต่เน้นให้ลูกตอบตามความรู้สึก ดังนั้นเด็กในช่วงวัยกำลังเรียนรู้เพื่อนจึงมีส่วนที่สำคัญอย่างมากเพราะเขาได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ตลอดเวลา หรือหากอยากกระชับความสัมพันธ์และอยากจะรู้จักมุมมองใหม่ๆ ของลูกมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามชื่อเพื่อนของลูก ลักษณะนิสัยของเพื่อน และสังเกตอารมณ์ความรู้สึก แววตา รวมไปถึงท่าทางการตอบสนอง คำถามเพียงเหล่านี้ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็คสภาพจิตใจของเด็กๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 2. ถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียน หากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่พูดคุยไม่เก่งการถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนนั้นจะช่วยแสดงได้ว่าคุณพ่อคุณแม่นั้นสนใจเขามากน้อยแค่ไหนถามถึงเรื่องการเรียนคุณครูที่สอนวิชาต่างๆ หรือรวมไปถึงลูกนั้นชื่นชอบเรียนวิชาอะไร มีความสุขไหมเมื่ออยู่ที่โรงเรียน เพื่อนที่เล่นด้วยกันสนุกไหม คุณครูใจดีหรือเปล่า คำถามนี้นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะได้คุยกับลูกมากยิ่งขึ้นแล้วยังสามารถตรวจสอบได้ว่าการเรียนในรูปแบบนี้รูปนั้นมีความสุขไหม มีประโยชน์ที่เราจะสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ของลูกได้อย่างถูกต้องโดยไม่เกิดการบังคับจิตใจกันนั่นเอง 3. หนูอยากให้พ่อกับแม่ทำอะไรให้ทานในวันพรุ่งนี้ดีจ๊ะ เป็นอีกหนึ่งคำถามที่จะให้ลูกช่วยแสดงความรู้สึกหรือความชื่นชอบนั้นออกมาได้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากลูกไม่มีไอเดียในการทานอาหารในวันพรุ่งนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเสนอเมนูขึ้นมาให้ลูกดู เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับเขา นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถให้ลูกเป็นคนเลือกวัตถุดิบต่างๆมาช่วยกันประกอบอาหารได้อีกด้วย ซึ่งการทำอาหารด้วยการนั้นจะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 4. ให้ลูกเป็นคนเลือกนิทานที่จะฟังก่อนนอนเอง บทสนทนาในรูปแบบนี้จะช่วยสนับสนุนให้ลูกนั้นเป็นคนเลือกในสิ่งที่ชอบได้เองโดย ไม่ถูกการบังคับหรือยัดเยียดจากพ่อแม่ การให้ลูกเลือกเช่นนี้จะช่วยให้เขาเป็นเด็กที่กล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งข้อนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ 5. วันนี้ลูกมีเรื่องที่ทำให้เสียใจหรือเปล่า? เป็นคำถามที่แนะนำให้ทุกครอบครัวหมั่นตรวจสอบสภาพจิตใจและถามลูกอยู่สม่ำเสมอ เพราะในบางครั้งลูกไปโรงเรียนแล้วพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งในบางครั้งลูกอาจจะไม่กล้าที่จะพูดกับคุณพ่อคุณแม่โดยตรง […]
5 ปัญหาโรคลำไส้ในเด็กแรกเกิด ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กแรกเกิดนั้นภูมิต้านทาน และระบบต่างๆในร่างกายยังพัฒนาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเด็กแรกเกิดจึงมักเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องของลำไส้ซึ่งถึงเป็นปัญหาใหญ่เด็กแรกเกิดเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมี 5 ปัญหาโรคลำไส้ในเด็กแรกเกิดมาฝากกันให้คุณพ่อคุณแม่ได้คอยหมั่นสังเกตอาการที่ผิดปกติของลูก เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ หรือรักษาเขาได้อย่างถูกวิธี จะมีอาการใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. อาการท้องผูก ถือเป็นอาการพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องคุณเจออย่างแน่นอน โดยสาเหตุหลักของอาการท้องผูกนั้นเกิดได้จาก 2 ปัจจัย ให้แก่ลูกมีอุจจาระแข็งแต่เมื่อถ่ายแล้วรู้สึกเจ็บก้นจึงเลือกที่จะกลั้นไว้ไม่ยอมถ่าย จนทำให้เกิดปัญหาลำไส้ในที่สุด และอีกหนึ่งปัจจัยคือระบบประสาทของลำไส้ไม่ทำงานจึงไม่มีการบีบตัว เด็กจึงไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้ งั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการของโรคได้ หากลูกมีอาการเกร็งขา หรือไขว้ขาไว้ไม่ยอมทานอะไรมีอาการท้องแข็งและมีเลือดปนออกมาตอนอุจจาระ มันคือลูกกำลังประสบกับปัญหาอาการท้องผูกอยู่สามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ลูกดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของการขับถ่าย คุณแม่สามารถผสมน้ำผลไม้ลงไปในน้ำนมได้เช่นน้ำแอปเปิ้ลหรือน้ำลูกแพรจะช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องมากยิ่งขึ้น 2. ลำไส้อักเสบ เกิดจากการมีเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างหนัก อาการที่พบเห็นโดยทั่วไปคือถ่ายเหลวเป็นน้ำติดต่อกันและมีเลือดปน และลูกมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมีน้ำมูกและมีไข้ร่วมด้วย อีกทั้งยังสังเกตได้ว่าปากแตกหรือเปล่าแห้งจากอาการขาดน้ำ มีอาการซึมและตัวเย็น ให้รีบพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด หรือสามารถรักษาในเบื้องต้นด้วยการให้ลูกจิบน้ำบ่อยขึ้นเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และมันทำความสะอาดอุปกรณ์ของเล่นหรือภาชนะที่ใส่อาหารให้ลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้คุณแม่ต้องล้างมือก่อนสัมผัสหรือให้นมลูกทุกครั้ง 3. อาการลําไส้อักเสบที่เกิดจากการแพ้โปรตีน กระเพาะของลูกไม่สามารถย่อยโปรตีนบางชนิดได้เช่นนมถั่วไข่ขาวเป็นต้นเสื้อการแพ้เหล่านี้นั้นจะส่งผลโดยตรงต่อลำไส้ วิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นคือหากตรวจพบว่าลูกมีอาการแพ้โปรตีนชนิดใดควรงดในการบริโภคอาหารชนิดนั้นโดยอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากมีอาการแพ้โปรตีนเกือบทุกชนิดให้รีบพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาทันที ขอดูอาจจะต้องได้รับอาหารเสริมที่พิเศษและแตกต่างจากเด็กทั่วไปนั่นเอง 4. ลําไส้กลืนกัน เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงเด็กแรกเกิด ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากต่อมน้ำเหลืองตรงปลายลำไส้เล็กงั้นใหญ่กว่าที่ควร จึงทำให้เกิดการหดตัวของลำไส้เกิดขึ้น อาการที่จะสามารถพบได้บ่อยเช่น ลูกมีอาการปวดท้อง กระสับกระส่าย ร้องไห้เป็นพักๆ โดยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าเวลาลูกร้องขาทั้งสองจะฉันเขาขึ้นมา อุจจาระเมื่อสังเกตแล้วจะมีสีขาวเหมือนเลือดและมีเมื่อ ผสมผสานกับอาการอาเจียน […]
5 เคล็ดลับในการกู้หน้าพังให้กลับมาปังได้ของคุณแม่หลังคลอด
เรื่องผิวพรรณ ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาให้กลุ้มใจอย่างมาก สำหรับคุณแม่หลังคลอด เพราะเมื่อฮอร์โมนเปลี่ยน ไปร่างกายและผิวพรรณก็จะแปรผันไปตามฮอร์โมนทำให้คุณแม่หลังคลอดนั้นประสบกับปัญหาในเรื่องของผิวพรรณต่างๆมากมาย รวมไปถึงความเครียดและความเหนื่อยล้าที่ต้องเจอในชีวิตประจำวันจนทำให้ผิวพรรณของคุณแม่ไม่เนียนสวยเหมือนเคย โดยเฉพาะผิวหน้าเมื่อส่องกระจกดูแล้วอาจจะเกิดความไม่มั่นใจ เพราะปัญหาผิวหน้าของคุณแม่หลังคลอดนั้นมีมากมายเช่นเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว ต่างๆมากมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการดูแลผิวหน้าของคุณแม่หลังคลอด ให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่งเหมือนเคย จะมีวิธีใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 3 กฏเหล็ก ในการดูแลผิวหน้าเบื้องต้น ได้แก่ ล้าง เช็ด และบำรุง ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในการดูแลผิวหน้าให้สวยงามและมีสุขภาพดี โดยคุณแม่ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของการเช็ดทำความสะอาดผิวพรรณ เพราะในแต่ละขั้นตอนนั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับผิวหน้าของเราด้วยกันทั้งสิ้น เช่น ในขั้นตอนล้างหน้า (Cleanse) ขั้นตอนนี้จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนผิวหน้าของเราให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ขั้นตอนเช็ดเตรียมผิว (Tone) เป็นการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุง โดยขั้นตอนนี้จะใช้โลชั่นในการเช็ดผิว หรือโทนเนอร์สูตรให้ความชุ่มชื้นก็ได้จะช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่นขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ครีมซึมลงสู่ผิวได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย คุณแม่สามารถพ่นสเปรย์น้ำแร่ใส่หน้าได้โดยตรงหรือเท่จากฝ่ามือและค่อยๆตบเบาๆที่ผิวเป็นการกระตุ้นให้ผิวนั้นพร้อมเปิดรับครีมบำรุงนั่นเอง ขั้นตอนบำรุง (Moisturizer) ไม่ว่าจะผิวหน้าแห้งหรือผิวหน้ามันคุณแม่จะต้องอย่าลืมที่จะบำรุงผิวพรรณในทุกครั้งหลังล้างหน้าเสร็จเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผิวของคุณแม่นั้นอิ่มฟูเต่งตึงและกระจ่างใสขึ้น การทา moisturizer จะช่วยให้ผิวหน้านั้นเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากยิ่งขึ้น ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรได้เป็นอย่างดี 1. การดูแลผิวหน้าสําหรับคนเป็นสิว ในระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายจะสร้าง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้ร่างกายของคุณแม่บางคนนั้นเกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้นส่งผลให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานหนักจนเป็นสาเหตุให้ผิวหน้าของคุณแม่และเป็นสูงกว่าปกตินั่นเอง วิธีการดูแลที่ถูกต้อง คือคุณแม่ควรใช้คลีนเซอร์ในการล้างทำความสะอาดผิวหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยให้เลือกสูตรที่อ่อนโยนที่สุด […]
5 ลักษณะนิสัยของคุณแม่ ที่ลูกต่อต้าน และมักใช้สอนลูกไม่ได้ผล
การเป็นคุณพ่อคุณแม่น้ำซึ่งแน่นอนว่าจะต้องอยากให้ลูกนั้นได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลายบ้านประสบกับปัญหาที่สอนลูกอย่างไรลูกก็ไม่เชื่อฟัง มีการต่อต้าน ถึงแม้ว่าเราจะพยายามสอนหรือพูดกับลูกอย่างไรเขาก็ไม่เคยฟังหรือไม่ยอมทำตามเลย จนหลายครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่นะโมโหแล้วหงุดหงิดขึ้นมาได้ แต่ในมุมกลับกันคุณพ่อคุณแม่ลองกลับมาสังเกตตัวคุณเอง ว่าคุณมีลักษณะนิสัยที่ทำให้ลูกนั้นมักต่อต้านหรือไม่เชื่อฟังหรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะมี 5 ลักษณะนิสัยของคุณแม่ ที่ถ้าหากใช้นิสัยเหล่านี้สอนลูก ลูกมักจะไม่เชื่อความและไม่ยอมทำตามอย่างแน่นอน จะมีลักษณะนิสัยใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. การใช้อารมณ์ หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่เรามักใช้อารมณ์ในการตัดสินกับลูกและผลลัพธ์ที่ได้คือยิ่งทำให้ลูกนั้นงอแง ร้องไห้ ไม่ยอมเชื่อฟัง และส่วนมากมักจะยิ่งทำให้สถานการณ์มันแย่ลง หากคุณพ่อคุณแม่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ให้ลองปรับเปลี่ยน ควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงก่อนที่จะพูดคุยกับลูกดู เมื่อไหร่ที่คุณแม่อารมณ์เย็นแล้ว น้ำเสียงหรือลักษณะท่าทางในการพูดจะทำให้ดูสุขุม นุ่มลึก และดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลดีให้ลูกนั้นยอมปฏิบัติตามและยอมเชื่อฟังอย่างง่ายดาย 2. ความคาดหวังเป็นเหตุสังเกตได้ ความคาดหวังนั้นเป็นดาบสองคมพี่ถ้าหากเราคาดหวังมากเกินไปจะทำให้กลายเป็นความกดดันและทำให้ลูกและใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข เรานั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหลายสิ่งหลายอย่างเราสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวแต่ในขณะเดียวกัน ลูกนั้นยังไม่มีประสบการณ์มากนัก จึงทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้และฝึกฝน คุณพ่อคุณแม่จะต้องใจเย็น ไม่คาดหวังในตัวลูกมากจนเกินไป การค่อยๆเรียนรู้จะทำให้พัฒนาการของลูกนั้นไวมากกว่าการโดนกดดันให้ทำในสิ่งที่ตัวไม่ถนัดหรือไม่ชอบนั่นเอง 3. เสียงดังใส่ลูก หลายครั้งที่เรามักตะโกนหรือพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟัง เพื่อให้ลูกนั้นได้ยินรักยอมทำตาม ถ้าคุณแม่รู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นมันกลับเร็วร้าย ลูกนั้นจะรู้สึกไม่อยากปฏิบัติตาม เขาจะไม่ยอมฟังที่เราพูดละไม่สนใจเลย หากเป็นเช่นนี้คุณแม่ลองปรับเปลี่ยนวิธีลดการพูดเสียงดังลงลองเดินเข้ามาใกล้ๆ นั่งลงแล้วพูดดีๆกับเขา มีการสบตากันบ้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ จะทำให้เขาสนใจรับฟังที่คุณแม่พูดมากยิ่งขึ้น 4. พูดในขณะที่ลูกอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อม ลักษณะนิสัยของเด็กมักจะแยกแยะภาวะทางอารมณ์ไม่ออก คุณดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของลูก หากจะสอนหรืออยากให้ลูกปฏิบัติตามอะไรนั้นคุณต้องบอกเขาในขณะที่เขาพร้อมที่จะฟัง ไม่บอกกับเขาในขณะที่เขาง่วง รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกหิว หรือรู้สึกไม่สบายตัว […]
6 พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องรับมือ!!
คุณพ่อคุณแม่สังเกตไหมคะว่าชีวิตส่วนตัวนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่มีลูก ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกันอยู่ไม่น้อย สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีครอบครัวหรือกำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นให้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ชีวิตความเป็นส่วนตัวของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องรับมือเมื่อมีลูกน้อย จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามตัวเลย 1. การนอนหลับไม่สนิท เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพบเจออย่างแน่นอน สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมีลูกน้อยอยู่นั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องจัดการกับตารางเวลาการพักผ่อน ให้ดี เพราะในช่วง 3 เดือนแรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องยังคงปรับตัวกับการมีสมาชิกใหม่ซึ่งจะต้องรับมือกับลูกน้อยในรูปแบบที่แตกต่างกัน บางบ้านอาจจะพบกับปัญหาลูกร้องกลางดึกบ่อยมากเพราะหิวนม ต้องคอยตื่นมาให้นม ต้องคอยปั๊มนมตลอดเวลา หรือมีความกังวล ว่าลูกนั้นนอนหลับสนิทดีหรือเปล่า หรือต้องคอยตื่นมาห่มผ้าให้ลูกเพราะลูกนั้นนอนดิ้น ถามให้คุณอาจกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่หมีแพนด้าเลยก็ว่าได้ 2. กลายเป็นคนที่เสียสละมากกว่าที่เคย หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่นั้นจะต้องประสบกับปัญหาในการเลี้ยงลูกจนคนนั้นจะต้องเสียสละทั้งเวลาส่วนตัว สละเวลานอน เสียสละความสบาย เสียสละความเอาแต่ใจ บางคนนั้นอาจจะต้องเสียสละหน้าที่การงานเพราะต้องออกมาดูแลลูก ซึ่งทั้งหมดนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยผ่านจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติเพื่อลูกน้อย ถามคุณยังเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้นและมีความรู้สึกที่มากขึ้น เพราะความรักที่เรามีให้ลูกนั้นมากมายจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ 3. หมดเวลาสวีท เป็นอีกหนึ่งข้อที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องยอมรับ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอดจะเหนื่อยมากที่สุด เพราะนอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับตัวแล้ว เวลาการพักผ่อนยังน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจด้วยการไปดูหนัง ช๊อปปิ้ง ฟังเพลงเพลินๆ จึงลดน้อยลงด้วย เพราะคุณจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดเหล่านี้ไปให้กับการดูแลลูกอย่างเต็มที่ แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกสักเท่าใด ก็อย่าลืมเติมความหวานให้กันอยู่เสมอ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ความรักของคุณนั้นจืดจาง และกลายเป็นความเย็นชาที่มีต่อกันงั้นเอง 4. คุณจะเป็นคนที่หูแว่วได้ยินเสียงลูกร้องอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นะจะต้องเป็นกันทุกคนอย่างแน่นอนโดยเฉพาะเวลาที่เข้าห้องน้ำ หรือเวลาพักผ่อน […]