5 อันดับ ครีมลดเลือนริ้วรอยที่คุณแม่ไม่ควรพลาด
ครีมลดเลือนริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่คุณแม่หลังคลอดต้องมีติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคุณแม่หลังคลอดนั้นระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผสมผสานกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงต้องมีตัวช่วยที่ดี เพื่อคงความอ่อนเยาว์ให้กับใบห้าของคุณ ครีมลดเลือนริ้วรอยที่ดีจะต้อง มีส่วนผสมที่เหมาะกับผิวหน้า มีเรตินอลช่วยฟื้นบำรุงและผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวหน้านั้นนุ่มเด้งยืดหยุ่นเหมือนผิวเด็ก สำหรับใครที่สนใจ วันนี้เรามีครีมลดเลือนริ้วรอยที่ดีที่สุดมาฝากกัน จะมีแบรนด์ใดบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. Olay Total Effects คุณสมบัติที่โดดเด่นของครีมยี่ห้อนี้คือ มีประสิทธิภาพช่วยลดปัญหาที่เกิดกับผิวหน้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอย ความหมองคล้ำ ผิวขาดน้ำ จบที่ครีมกระปุกนี้เลย ส่วนผสมที่สำคัญประกอบไปด้วย วิตามินอี ที่ใส่เพิ่มเข้ามาถึง 50% เลยทีเดียว จึงสามารถช่วยปกป้องผิวหน้าจากอนุมูลอิสระต่างๆ อีกทั้งยังมี วิตามิน B5 ที่จะตรงเข้าช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวหน้าของคุณเปล่งปลั่งกระจ่างใส หากใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัวของผิวที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวนั่นเอง เหมาะสำหรับผิวธรรมดากับผิวมัน 2. Eucerin Q10 Anti-Wrinkle Face Cream โด่งดังมากในเรื่องของการลดริ้วรอย เป็นสูตรที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยเฉพาะ จึงทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ตัวครีมไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม ส่วนประกอบที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือ มีโคเอนไซม์ Q10และเบต้าแคโรทีน ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูร่องลึกของริ้วรอยบนใบหน้าคุณให้ตื้นขึ้น ดูตึงและเนียนกระชับมากขึ้น ถ้าหากใช้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน […]
6 เคล็ดลับ ที่จะสอนให้พี่น้องรักกัน รู้จักช่วยเหลือแบ่งปันกันมากยิ่งขึ้น
ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณแม่หลายคนกำลังกังวลใจ นั่นก็คือการ สอนให้พี่น้องรักกัน เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่กับน้องนั้นเริ่มต้นจากการอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง ที่ต้องมีความรักความเข้าใจในระหว่างลูกทั้งสองคนอย่างเท่าเทียมกัน ปลูกฝังในพี่น้องมีความเคารพต่อกัน จะช่วยให้ลูกๆเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงมีเทคนิคดีๆจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาเด็ก ที่จะช่วยให้พี่น้องรักกันมากยิ่งขึ้นมาฝากกัน จะมีเคล็ดลับใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนให้ลูกรู้จัก “ ให้อภัย” ซึ่งกัน จากงานวิจัยพบว่า การที่เด็กคนหนึ่งจะรู้สึกให้อภัยกับใครสักคนนั้น มันจะเกี่ยวข้องกับทั้งความรู้สึกและการแสดงออกทางร่างกายเลย ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่คุณแม่จะต้องคอยบอกกล่าวและสอนให้ลูกเข้าใจถึงการให้อภัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เขารู้จัก ให้อภัยซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ซึ่งมีประโยชน์ช่วยให้เด็กๆแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจนั่นเอง 2. สอนให้ลูกหมั่นบอกรักกันเสมอ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผย จะทำให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกดี และสามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นได้ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้คุณแม่สอนให้พี่น้องบอกรักกันในทุกวัน จะทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรักกันมากยิ่งขึ้น 3. ปล่อยให้พี่น้องได้ใช้เวลาร่วมกัน การกระชับความสัมพันธ์ที่ดี คุณแม่เองควรที่จะปล่อยวางและหาช่วงเวลาปลีกตัวออกห่างจากเด็กๆดู ปล่อยให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกัน ได้เล่นด้วยกันตามลำพัง จะช่วยให้คู่พี่น้องปรับตัวเข้าหากันได้ดีมากขึ้น มีความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 4. ไม่ส่งเสริมให้ลูกแข่งขันกันเอง ข้อนี้สำคัญและจำเป็นอย่างมาก หากคุณไม่อยากให้ลูกเติบโตมาแล้วมีการแก่งแย่งชิงดี หรือแข่งขันกันตลอดเวลา อย่าสร้างบรรยากาศในการเลี้ยงลูกด้วยการแข่งกัน คุณไม่ควรเอาความสามารถของลูกทั้งสองคนมาเปรียบเทียบระหว่างกัน จะทำให้เขารู้สึกเห็นจุดด้อยของตัวเองชัดขึ้นละพยายามที่จะเอาชนะอีกฝ่ายมากขึ้น สิ่งที่ควรปฏิบัติคือคุณต้องอบรมสั่งสอนให้เขาทำงานกันอย่างทีมเวิร์ค รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะช่วยให้พี่น้องรักกันมากขึ้นได้ 5. สร้างความทรงจำที่ดีให้แก่คู่พี่น้อง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ภาพถ่ายจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เพราะสามารถเก็บเรื่องราวและบันทึกความทรงจำที่ดีในอดีตไว้ได้ไม่ลืมเลือน […]
6 วิธี รับมือกับอาการวัยทอง 2 ขวบ อย่างไรให้ได้ผล
วิธีรับมือกับอาการวัยทอง 2 ขวบ ของลูกนั้นเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี ในช่วงวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม จึงทำให้เด็กต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ผสมผสานกับนิสัยส่วนตัว ที่เริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง อยากเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆด้วยตนเอง จึงทำให้ช่วงวัยระหว่าง 2-4 ขวบ เด็กจะมีพฤติกรรมที่เกเรเป็นพิเศษ แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป วันนี้เรามีเคล็ดลับในการรับมือกับพฤติกรรมเหล่านี้มาฝากกัน จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 1. คุณต้องใจเย็น การรับมือกับอาการวัยทอง 2 ขวบได้ดีที่สุดคือ ความสงบนิ่ง ของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกมีอาการ โมโห หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียว ในพื้นที่สาธารณะ สิ่งที่คุณควรปฏิบัติคือ ควรพาลูกออกมาจากพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะอาจเกิดความวุ่นวายอื่นๆตามมาได้ หลังจากนั้น ให้ลูกระเบิดอารมณ์ออกมาเท่าที่ต้องการ โดยคุณต้องเข้าใจและยอมรับกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยการตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ และตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง สิ่งที่ต้องระวังคือความใจอ่อนที่จะยอมทำตามใจลูก จะยิ่งปลูกฝังและสนับสนุนให้เขาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากขึ้นนั่นเอง 2. เบี่ยงเบนความสนใจของลูก เมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูกกำลังจะระเบิดออกมา สิ่งแรกที่คุณสามารถหยุดอารมณ์รุนแรงเหล่านั้นลงได้ก่อนนั่นคือการเบี่ยงเบนความสนใจ ให้ลูกเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นแทน จะทำให้เขาลืมเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจลงได้ เช่น พยายามทำเสียงแปลกๆให้ลูกสนใจ หรือหัวเราะ ชวนเขาออกไปดูธรรมชาติ ชี้นก ชี้ไม้ให้ลูกดู […]
5 วิธี ในการตรวจเช็คว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก
ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูก อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพในอนาคตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จนทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนมีความกังวลในเรื่องของการเลี้ยงลูก ซึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ต้องมีความคาดหวังให้ลูกนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ฉลาด เรียนรู้และเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เป็นอย่างดี แต่จะทราบได้อย่างไรว่า วิธีในการเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่นั้นประสบความสำเร็จ วันนี้เรามีสัญญาณและวิธีการสังเกตพฤติกรรมของลูก ที่บ่งบอกว่าการเลี้ยงดูของคุณนั้นมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ จะมีสัญญาณใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. ลูกสามารถกล่าวสวัสดีหรือขอบคุณได้ด้วยตนเอง หากพ่อแม่กำลังสงสัยว่าตนเองประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกหรือไม่นั้น ให้สังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ของลูก หากลูกตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้และสามารถพูด ขอโทษ หรือขอบคุณได้ด้วยตนเองโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องบอก แสดงว่าลูกเข้าใจและรับผิดชอบกับการกระทำของตนเองได้เป็นอย่างดี ลูกสามารถเรียนรู้และเข้าใจมารยาทในสังคม ที่สำคัญลูกเคารพและให้เกียรติผู้อื่นเป็นอย่างดี นั่นเป็นสัญญาณได้ว่าลูกจะเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน 2. ลูกรู้จักสังเกตและสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ข้อสังเกตนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้โดยการพาลูกออกไปเที่ยวชมธรรมชาตินอกบ้าน หรือสวนสาธารณะ และสังเกตพฤติกรรมว่าลูกมีความสนใจธรรมชาติหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยความอ่อนโยน มีนิสัยรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ นั่นบ่งบอกได้ว่าลูกมองเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวนั่นเอง 3. ลูกเห็นความสำคัญของพ่อแม่เป็นอันดับแรก เมื่อลูกพบกับปัญหาที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจหรือความรู้สึกแล้วบอกพ่อแม่ก่อนเสมอโดยที่ไม่กลัวว่าจะถูกตำหนิหรือถูกดุด่า นั่นหมายความว่าลูกไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวคุณพ่อคุณแม่ ว่าสามารถเป็นที่พักพิงใจให้กับเขาได้เป็นอย่างดี และสามารถบ่งบอกได้ถึงการเลี้ยงดูลูกที่ผ่านมาว่าคุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ดีมาตลอด จึงทำให้เขานึกถึงคุณเป็นอันดับแรกเมื่อทุกข์ร้อนใจนั่นเอง 4. ลูกมีลักษณะนิสัยแบ่งปันสิ่งของให้ผู้อื่น ข้อนี้สามารถชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณเลี้ยงลูกได้อย่างมีคุณภาพ หล่อหลอมให้เขามีลักษณะนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง มีความเสียสละ ยอมสละของตนเองแบ่งให้ผู้อื่นบ้าง เพราะโดยธรรมชาติของนิสัยเด็กแล้วนั้นมักจะหวงของเล่น หวงขนมอยากเก็บไว้ทานเอง ไม่เข้าใจถึงการแบ่งปัน ดังนั้นถ้าหากคุณสังเกตว่าลูกรู้จักแบ่งปันของเล่น หรือของกินให้กับเพื่อนๆน้องๆ นั่นแสดงว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกไปอีกขั้นแล้วล่ะ 5. ลูกรับฟังความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ อีกหนึ่งพฤติกรรมที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกนั่นก็คือ ลูกรู้จักยอมรับและคิดตามความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ […]
4 เหตุผล ที่ทำให้คุณมีภาวะเครียดสะสมจากการเลี้ยงลูก
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเป็นคุณแม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวในทุกๆด้านอยู่มากเลยทีเดียว เหตุผลที่ทำให้คุณแม่เกิดความเครียดสะสมในการเลี้ยงลูก นั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ซึ่งในบางครั้งการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณแม่นั้นเกิดส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ในขณะที่มีคุณแม่หลายท่านที่คาดหวัง ในการเลี้ยงลูกให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด จนกลายเป็นความกดดันให้กับตนเอง ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่โดยตรง วันนี้เราจึง รวบรวม เหตุผลหรือสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เกิดความเครียดและความกังวลในการเลี้ยงลูกมาฝากกัน เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขและสร้างสมดุลในชีวิตได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง จะมีเหตุผลใดบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. คุณแม่มีความกังวลคอยประกบลูกอยู่ตลอดเวลา วิธีการเลี้ยงลูกในรูปแบบนี้ นอกจากจะสร้างความเครียดให้กับตัวคุณเองแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นพัฒนาการของลูกอีกด้วย แนะนำให้คุณแม่หาเวลาปล่อยให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระบ้าง ถ้าหากลูกอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล การปล่อยให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ ตัวเด็กเองจะมีพัฒนาการทางความคิดอย่างไร้ขีดจำกัด มีความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น บางครั้งไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบตลอดเวลา การปล่อยให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระจะสามารถเสริมสร้างพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ คุณจะมีเวลาเป็นส่วนตัว ได้พักผ่อนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 2. คุณแม่มีความคิดอยากเลี้ยงลูกให้สมบูรณ์แบบมากเกินไป ทัศนคติเช่นนี้จะทำให้คุณแม่สร้างความกดดันให้กับตัวเอง ทำให้การเลี้ยงลูกเป็นวิ่งที่ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา จะทำให้คุณแม่รับภาระหนักจนเกิดไป เกิดเป็นความเครียดสะสม และไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต แนะนำให้คุณแม่ปล่อยวาง ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีคุณแม่คนใดที่จะสมบูรณ์แบบ ในทุกเรื่อง ทุกคนต่างมีเรื่องที่ถนัดและทำให้เก่งที่แตกต่างกัน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นแม่ที่เพอร์เฟคในทุกๆเรื่องก็ได้ ทำเท่าที่ทำไหว สิ่งไหนเป็นเรื่องที่ถนัดก็ทำให้ดีที่สุด แต่หากเรื่องไหนที่ไม่ถนัดก็ค่อยๆเรียนรู้และทความเข้าใจจะช่วยให้คุณแม่เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุขมากขึ้น 3. ไม่มีคนคอยสนับสนุน เรื่องนี้ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณแม่นั้นเกิดความเครียดในการเลี้ยงลูกได้ อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่หนัก การจะฝึกฝนหรือดูแลอีกหนึ่งชีวิตให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งถ้าหากทำคนเดียวแล้วล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องมีช่วงเวลาที่เหนื่อยล้า และท้อแท้อย่างแน่นอน […]
5 เรื่อง ที่ควรสอนลูกให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัยตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อการใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างมีความสุข
เรื่องพื้นฐานที่ควรฝึกสอนลูกให้ปฏิบัติจนเป็นนิสัย เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ทุกครอบครัวจะต้องตระหนักถึงความสำคัญ การเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โดยจากผลการสำรวจของกรมสุขภาพจิตในปี 2559 พบว่ามีเด็กเยาวชนอายุ 13-17 ปีมากกว่า 4 ล้านคนที่มีพฤติกรรมที่เกเรและก้าวร้าว นั่นบ่งบอกถึงสภาพการเป็นอยู่และการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กนั้นมีพฤติกรรมเหล่านั้น ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักถึงการเลี้ยงดูและการให้ความสำคัญกับลูกให้มากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าคุณพ่อคุณทุกคนอยากที่จะพยายามอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด วันนี้เราจะรวบรวม เรื่องพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกปฏิบัติจนเป็นนิสัย เพื่อประโยชน์ในการใช้ชีวิตในอนาคตของลูกจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน จะมีเรื่องใดที่ควรฝึกฝนบ้างนั้นไปติดตามกันเลย 1. สอนเรื่องมารยาทในสังคม ถือเป็นเรื่องพื้นฐานเลยที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้กับลูกได้ซึมซับตั้งแต่ยังเด็ก การสอนในเรื่องกฎมารยาทในที่สาธารณะเช่นบนรถเมล์ ในห้างสรรพสินค้า บนรถไฟ เป็นต้น โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายถึงมารยาทในการใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะที่ถูกต้องให้กับลูกได้ ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ ถ้าอยากให้ลูกน้องเห็นภาพมากขึ้นควรพาลูกออกไปเจอสถานการณ์เหล่านั้น และบอกกล่าวเขาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เขาค่อยๆซึมซับและติดมารยาทที่ดีจนเป็นนิสัย 2. สอนให้ลูกทานข้าวเช้าทุกวัน อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารมื้อเช้านั้นเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด จะช่วยเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายอีกทั้งยังช่วยกระตุ้นพลังงานสมอง ช่วยให้ลูกนั้นมีความกระตือรือร้นและพร้อมที่จะเรียนรู้และจดจำในสิ่งต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การทานข้าวเช้าอยู่เป็นประจำนั้นยังสามารถช่วยพัฒนาเซลล์สมองได้เป็นอย่างดีด้วย โดยมีงานวิจัย เด็กที่ทานข้าวเช้าอยู่เป็นประจำพบว่ามีผลการเรียนที่ดีขึ้นมากกว่าเด็กที่ไม่ได้ทานข้าวเช้า ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรที่จะปลูกฝังให้ลูกได้เห็นถึงความสำคัญของการทานข้าวเช้าจนติดเป็นนิสัย เพื่อให้ลูกโตได้อย่างมีคุณภาพและชาญฉลาด โดยอาหารเช้าที่ดีคนเป็นประเภทข้าวหรือขนมปัง จะช่วยเสริมสร้างพลังงานได้เป็นอย่างดี 3. สอนให้ลูกรู้จักเป็นผู้ทักทาย การทักทายผู้อื่นก่อนด้วยความนอบน้อมถ่อมตนนั้นเป็นคุณสมบัติของคนดี ไม่ว่าใครพบเจอหรือพบเห็นก็ต่างชื่นชมและเป็นเด็กที่น่าเอ็นดู การรู้จักกล่าวคำทักทายนั้นจะทำให้เป็นเด็กที่น่าคบหา จะทำให้ลูกเรานั้นสามารถเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี โดยคุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกลูกตั้งแต่ยังเด็ก เขาจะไม่ค่อยซึมซับและติดเป็นนิสัย กลายเป็นเด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีในอนาคต 4. สนับสนุนจุดเด่นในตัวลูก […]
คุณแม่ห้ามพลาด รู้เท่าทันโรค โควิด-19 เตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกต้อง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนี้โรคระบาดนั้นกำลังแพร่พันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่ ที่คุณพ่อคุณแม่จะต้อง รู้เท่าทันโรคโควิด-19 และพร้อมรับมือได้อย่างถูกวิธี ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังคงมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อ โดยเป็นโรคติดต่อที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย เป็นโรคที่มีความรุนแรงและอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงเด็กเล็กผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว มีโอกาสที่จะเสียชีวิตกับการติดเชื้อโควิด-19 สูงมาก วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลสำหรับโรคอุบัติใหม่อย่าง โควิด-19 มาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรง พร้อมทั้งการปฏิบัติตัวของลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคอุบัติใหม่นี้มีความรุนแรงและมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรมากนั้นไปติดตามกันเลย 1. โรคอุบัติใหม่ ไวรัสโคโรน่า โควิด-19 เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอไวรัส ที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางละอองฝอยหรือลมหายใจของผู้ที่ติดเชื้อ ความหมายของเชื้อไวรัสชนิดนี้คือจะแสดงอาการในระบบทางเดินหายใจส่วนบน จึงพบการติดเชื้อมากในเด็กลาสามารถติดเชื้อซ้ำได้เนื่องจากภูมิคุ้มกันการลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ติดเชื้อแล้ว ไม่ได้เด็กบางรายนั้นอาจมีการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงซึ่งเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องระมัดระวังและดูแลลูกเป็นอย่างดีเมื่อออกนอกบ้าน 2. อาการของโรค โควิด-19 คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังและสังเกตอาการลูกอย่างสม่ำเสมอถ้าหากมีการติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่แล้วลูกมักจะมีไข้ และมีอาการไอแห้งๆประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจะเริ่มมีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ หายใจติดขัดในบางรายเชื้อไวรัสลงปอดทำให้ปอดอักเสบร่วมด้วย จะทำให้อาการนั้นรุนแรงกว่าปกติหลายเท่าและอาจส่งผลให้ระบบอวัยวะภายในร่างกายล้มเหลวได้เลยทีเดียว หรือนอกจากนี้ในบางรายอาจมีน้ำมูก ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย ละ มีการหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย ลักษณะจะคล้ายๆกับไข้หวัดใหญ่ ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกของคุณมีอาการเสี่ยงเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที 3. วิธีการป้องกันลูกน้อยจากโรค โควิด-19 เริ่มจากการทำความสะอาดล้างมืออย่างเป็นประจำ เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยแนะนำให้ทำความสะอาดด้วยเจลล้างมือที่ผสมแอลกอฮอล์จากสามารถช่วยฆ่าเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อออกนอกบ้านควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มาจากละอองฝอย และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กนั้นเอามือมาสัมผัสบริเวณใบหน้าของตนเองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แล้วที่สำคัญของเล่นหรืออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ภายในบ้านนั้นควรทำความสะอาดฆ่าเชื้ออยู่เป็นประจำเพื่อลดการสะสมของเชื้อก่อโรคนั้นเอง 4. […]
5 ไอเดียกับกิจกรรมยามว่าง เล่นสนุกกับลูกส่งเสริมพัฒนาการให้ชาญฉลาด
หลายคนที่เป็นคุณแม่ full Time ใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับลูกตลอดเวลา คงมีความคิดอย่างแน่นอนว่า อยากหา กิจกรรมยามว่างที่ใช้เล่นกับลูก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการให้ชาญฉลาดสมวัย ซึ่งการหากิจกรรมเล่นกับลูกในยามว่างนั้นมีประโยชน์สำหรับเด็กอย่างมาก เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ วันนี้เราจะรวบรวมไอเดียในการเล่นสนุกกับลูก เป็นกิจกรรมยามว่างที่เป็นประโยชน์ มาช่วยสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้มีสีสัน สนุกสนานและมีความสุขมากยิ่งขึ้น ซึ่งไอเดีย กิจกรรมยามว่างเล่นกับลูกที่เรานำมา ฝากนี้นั้น สามารถเล่นได้ง่าย ได้ประโยชน์ จะมีกิจกรรมใดบ้างและติดตามกันเลย 1. การเล่นซ่อนหา หรือจ๊ะเอ๋ เป็นการสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็กๆได้อย่างง่ายดาย เล่นจ๊ะเอ๋กับลูกนั้นเป็นกิจกรรมที่ถูกใจ และช่วยฝึกการสังเกตให้กับลูกได้อีกด้วย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยกำลังซนประมาณ 7-8 เดือน เขาจะชื่นชอบการเล่นจ๊ะเอ๋เป็นอย่างมาก หากคุณพ่อคุณแม่อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ลองเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกดูจะช่วยสร้างเสียงหัวเราะนะให้ลูกอารมณ์ดีได้อย่างแน่นอน 2. การปั้นแป้งโดว์ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมลูกในด้านศิลปะและจินตนาการ ซึ่งเป็นการฝึกสมองในด้านของศิลปะที่แตกต่างจากด้านวิชาการ ลูกจะรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากยิ่งขึ้นเมื่อได้สรรค์สร้างจินตนาการ และปั้นแป้งออกมาในรูปแบบที่ตนเองต้องการ เพราะทักษะทางด้านความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ลูกสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ยังเด็ก จะช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีไอเดีย แล้วมีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอได้ ดูวิธีการเล่นของคุณพ่อคุณแม่อาจจะนั่งปั้นแป้งดูในรูปแบบต่างๆไปพร้อมกับลูก จะช่วยให้เขารู้สึกสนุกและมีความสุขมากยิ่งขึ้น 3. การเล่นเงาในตอนกลางคืน ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะสร้างเสียงหัวเราะภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การสร้างเหล่านี้เด็กจะได้ใช้จินตนาการมากยิ่งขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่ สามารถสอดแทรกความรู้ในเรื่องของสัตว์ต่างๆ หรือรูปทรงต่างๆที่เล่นเงาให้ลูกดูได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถ สร้างเรื่องราวเพิ่มความสนใจและชวนให้ลูกน้อยได้คิดตาม จะช่วยให้เขาฝึกสมองและใช้ความคิดการสนทนาการให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นนั่นเอง 4. […]
5 เหตุผลที่ทำให้คุณแม่ลูกอ่อน หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวณเอาใจยาก
เหตุผลที่ทำให้คุณแม่ลูกอ่อนนั้นหงุดหงิดง่าย มีหลากหลายสาเหตุ สำหรับใครที่เคยผ่านประสบการณ์การเป็นคนแม่ลูกอ่อนมาแล้วจะทราบเป็นอย่างดีเลยว่า ทำไมในช่วงนั้นถึงอารมณ์หงุดหงิดง่าย ในบางครั้งเก็บตัวเงียบเพราะมีเรื่องเครียดสะสมมากมาย คุณสามีหลายท่านอาจจะไม่เข้าใจในความเป็นคุณแม่ลูกอ่อน หลายคนคิดว่าผู้หญิงตอนแปลงร่างเมื่อเป็นประจำเดือนอารมณ์หงุดหงิดง่ายแปรปรวนขึ้นๆลงๆ มาเอาใจยากแล้วแต่อารมณ์ของคุณแม่ลูกอ่อน นั้นรุนแรงกว่าหลายเท่า เกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างหลากหลาย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า Baby Blue ไม่ได้ว่าเป็นซึมเศร้าหลังคลอดนั่นแหละ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะต้องอาศัยคนรอบข้างที่มีความเข้าใจในภาวะนี้ จะช่วยให้คุณแม่ลูกอ่อนนั้นสามารถผ่านวิกฤตทางอารมณ์เหล่านี้ไปได้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจะรวบรวมให้เหตุผลที่ทำให้คุณแม่ลูกอ่อนนั้นซึม เงียบ โดยไม่รู้สาเหตุ มาฝากกัน จะมีเหตุผลใดบ้างและติดตามกันเลย 1. เกิดจากความวิตกกังวลในการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะคุณแม่ มือใหม่ที่ต้องมีการปรับตัวในการเลี้ยงเด็กทารกมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเสียหมด ทำให้คุณแม่บางท่านอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ จนเกิดเป็นความวิตกกังวลในการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะการเลี้ยงเด็กทารกจะต้องใช้ความอดทนและความใจเย็นเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ทำได้เพียงร้องไห้ออกมาเท่านั้น ยิ่งถ้าหากเด็กบ้านไหนที่เลี้ยงยาก ร้องไห้งอแงอยู่บ่อยครั้ง กล่อมเท่าไหร่ก็ไม่หยุดร้องยิ่งทำให้คุณแม่นั้นเป็นกังวลซ้ำไปอีก รวมถึงอาการต่างๆของเด็กทารกที่เราจะต้องศึกษาหาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสีอุจจาระของลูก ปริมาณการทานนม เวลาเข้านอนของลูก เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้ก็ทำให้คุณแม่มือใหม่นั้นวิตกกังวล และชอบเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว 2. ความคาดหวังที่มากเกินไป มนุษย์เราทุกคนนั้นเมื่ออยู่ตัวคนเดียวจะรู้สึกอิสระและมีความคล่องตัวมากกว่า หลังจากที่มีลูกแล้วนั้นกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตจะต้องเปลี่ยนไป โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่จะต้องมีการปรับตัวในการเลี้ยงลูกอยู่ทุกวัน คุณจะต้องมีการวางแผนในอนาคตมากขึ้น ต้องรับผิดชอบครอบครัว โดยเฉพาะลูกน้อยที่ต้องได้รับการดูแลและเอาใจใส่เป็นพิเศษอยู่ตลอดเวลา ความรับผิดชอบเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และไม่สามารถหนีหายไปไหนได้ ต้องเลี้ยงดูลูกให้ตลอดรอดฝั่ง ให้เขาเติบโตมาเป็นเด็กที่มีคุณภาพมากที่สุด จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุณแม่หลายท่านเกิดความเครียดและคาดหวังกับเรื่องต่างๆในชีวิตมากจนเกินไป แนะนำว่าให้คุณแม่หาเวลาพักผ่อน สุดท้ายแล้วคุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อที่จะมีพลังไปดูแลคนรอบข้างโดยเฉพาะลูกน้อย […]
5 เคล็ดลับ ฝึกให้ลูกนอนกลางวัน ช่วยให้เป็นเด็กอารมณ์ดี ฉลาด เรียนรู้ไว
คุณแม่ห้ามพลาดกับ เคล็ดลับในการฝึกให้ลูกนอนกลางวัน อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการนอนหลับพักผ่อนในเด็กนั้นสำคัญและจำเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าลูกจะอยู่ในช่วงวัยกำลังซน โดยเฉพาะเมื่อลูกเข้าสู่วัยอนุบาล การให้ลูกได้นอนในช่วงเวลากลางวันนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่จะต้องฝึกให้ลูกได้มีเวลาพักผ่อน ในช่วงเวลากลางวันบ้าง เพราะเด็กในวัยนี้ จะต้องนอนกลางวันอย่างน้อย 30 – 60 นาที เป็นเวลาที่เพียงพอที่ร่างกายจะได้ชาร์จพลัง และช่วยให้ลูกตื่นมาด้วยอารมณ์ที่สดใส โดยจากงานวิจัยพบว่าเด็กที่ได้นอนกลางวัน จะส่งผลดีต่อพัฒนาการการเรียนรู้ ช่วยให้สมองสามารถจดจำและเก็บข้อมูลได้ดียิ่งขึ้นกว่าเด็กที่ไม่ได้นอนกลางวันถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามหาเวลา หรือโอกาสให้ลูกได้นอนในช่วงกลางวันมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ ในการฝึกให้ลูกนอนกลางวันได้ง่ายยิ่งขึ้น จะมีวิธีใดบ้างนั้นไปติดตามต่อเลย 1. ทำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้ลูกนั้นนอนในช่วงเวลากลางวันได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งการจะฝึกให้ลูกนอนหลับในช่วงเวลากลางวันได้ง่ายยิ่งขึ้น จะต้องมีกฎเกณฑ์และทำตามซ้ำๆจนกลายเป็นกิจวัตรประจําวัน แล้วลูกจะรู้ได้โดยอัตโนมัติเลยว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะต้องนอนหลับ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ การฝึกให้ลูกนอนในช่วงเวลากลางวันนั้นถึงเป็นเรื่องที่หนักและท้าทายสำหรับคุณพ่อคุณแม่อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว เพราะลูกในวัยนี้จะติดเล่นและไม่ยอมง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามรักษากฎกติกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝึกให้ลูกจะเป็นนิสัย จะรู้เข้าใจและยอมรับได้เอง 2. สร้างพื้นที่ส่วนตัวให้กับลูก เมื่อฝึก ให้ลูกทราบกฎกติการ่วมกันแล้ว พ่อคุณแม่จะต้องมีมุมโปรดของลูก หรือพื้นที่ที่อยู่แล้วรู้สึกอุ่นใจ จะช่วยให้เขานอนกลางวันได้ง่ายยิ่งขึ้นๆ โดยพื้นที่ที่คุณจะให้ลูกนอนในช่วงเวลากลางวันนั้นจะต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย สะอาด ปราศจากของเล่นที่เป็นอันตรายกับลูก จะช่วยให้การนอนในช่วงเวลากลางวันและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. ปรับโหมดให้สงบลง เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ให้คุณค่อยๆปรับโหมดให้ช้าและเงียบลง จะช่วยให้บรรยากาศดูน่านอนมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อถึงเวลาเข้านอนกลางวันแล้วคุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับบรรยากาศให้บ้านดูสงบ […]